tag:blogger.com,1999:blog-2650557742936485382024-02-06T19:10:27.863-08:00excoticaCloude You My Loveling MEณรัฐ ประสุนิงค์http://www.blogger.com/profile/03818947380378905111noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-265055774293648538.post-70911352024668641282007-09-26T03:44:00.000-07:002007-09-26T03:44:46.134-07:00วิชาการสร้างสื่อการเรียนการสอน<span style="font-size:150%;color:#ff0000;">หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน<br /></span><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/1.1.doc">........1.1 ความหมาย ประเภท ของสื่อการเรียนการสอน</a><br /><strong>ความหมายของสื่อการเรียนการสอน</strong><br /><br /> ในการเรียนการสอนเป็นกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนและผู้เรียน โดยมีเจตนาที่จะถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องอาศัยตัวกลางหรือพาหะ ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงที่สำคัญ อาจเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น อุปกรณ์การสอน โสตทัศนอุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ สื่อการสอน สื่อการเรียน ซึ่งแต่ละคำหมายถึงตัวกลางทั้งสิ้น <br /> เดิมใช้คำว่า “อุปกรณ์การสอน” (Teaching Aids) ซึ่งเน้นถึงสิ่งที่นำมาใช้ช่วย ในการสอน แต่เนื่องจากสิ่งที่นำมาใช้ช่วยในการสอนนั้นส่วนใหญ่ต้องใช้ประสาทตาและประสาทหูในการรับรู้ จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า “โสตทัศนอุปกรณ์” หรือ “โสตทัศนูปกรณ์” (Audio-Visual Aids) นอกจากนี้ยังมีคำที่เกี่ยวข้องและมีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น Audio-Visual Education, Educational Media, Instructional Media, Instructional Material, Instructional Technology, Audio-Visual Media, Audio-Visual Communication, Communication Media, Teaching Aids, Technology for Education<br /> เมื่อพิจารณารูปแบบของการเรียนการสอนจึงได้นำคำว่า “สื่อ” (Media) มาใช้แทน คำว่า “อุปกรณ์” ทั้งนี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า สื่อ หมายถึง ทำการติดต่อ ให้ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน <br /> เมื่อมีการนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน หากเน้นที่ผู้สอนจะเรียกว่า สื่อการสอน (Teaching Media) หากเน้นที่ผู้เรียนจะเรียกว่า สื่อการเรียน (Learning Media) โดยยึดถือเอาผู้ใช้สื่อเป็นหลัก แต่เนื่องจากการเรียนและการสอนมักจะเกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกัน จึงน่าจะเรียกตัวกลางที่ใช้ในการเรียนการสอนว่า <br /> “สื่อการเรียนการสอน” (Instruction Media )<br /> ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้สอนและผู้เรียนนำมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้กระบวนการเรียนรู้ดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ<br /> <strong>ประเภทของสื่อการสอน</strong><br /> เอ็ดการ์ เดล จำแนกประสบการณ์ทางการศึกษา เรียงลำดับจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมไปสู่ประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม โดยยึดหลักว่า คนเราสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ดีและเร็วกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งเรียกว่า "กรวยแห่งประสบการณ์" (Cone of Experiences) ซึ่งมีทั้งหมด 10 ขั้น ดังแผนภาพต่อไปนี้<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLXr28Mv_mzsqLdMfUT5yEoAJ1rKeSFTVyy1ACamiGjNoKOeUFJvHXuhX_Dyj2vH0qP_W5al0z6EPP0HlE78JC7Zj5iwsqKwhIzwpLl7nRieN3WCOUEPY2RBrqg_Ci9zV_pC_dKpk-ilg/s1600-h/1.1.bmp"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLXr28Mv_mzsqLdMfUT5yEoAJ1rKeSFTVyy1ACamiGjNoKOeUFJvHXuhX_Dyj2vH0qP_W5al0z6EPP0HlE78JC7Zj5iwsqKwhIzwpLl7nRieN3WCOUEPY2RBrqg_Ci9zV_pC_dKpk-ilg/s400/1.1.bmp" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108526918246737330" /></a><br /><br /> โรเบิร์ต อี. ดี. ดีฟเฟอร์ แบ่งประเภทของสื่อการสอน ดังนี้<br />1. วัสดุที่ไม่ต้องฉาย ได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ กราฟ ของจริง ของตัวอย่าง หุ่นจำลอง แผนที่ กระดาษสาธิต ลูกโลก กระดานชอล์ค กระดานนิเทศ กระดานแม่เหล็ก การแสดงบทบาท นิทรรศการ การสาธิต และการทดลองเป็นต้น <br />วัสดุฉายและเครื่องฉาย ได้แก่ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพโปร่งใส ภาพทึบ ภาพยนตร์ และเครื่องฉายต่าง ๆ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์ และฟิล์มสตริป เครื่องฉายกระจกภาพ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายภาพทึบ<br />2. แสง เครื่องฉายภาพจุลทัศน์ เป็นต้น <br />3. โสตวัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ แผ่นเสียง เครื่องเล่นจานเสียง เทป เครื่องบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง และวิทยุ เป็นต้น<br /> ศาสตราจารย์สำเภา วรางกูร ได้แบ่งประเภทและชนิดของสื่อการสอน ดังนี้<br />ก. ประเภทวัสดุโสตทัศน์ (Audio-Visual Materials)<br /> 1. ประเภทภาพประกอบการสอน(Picture Instructional Materials)<br />I. ภาพที่ไม่ต้องฉาย (Unprojected Pictures)<br />i. ภาพเขียน (Drawing) <br />ii. ภาพแขวนผนัง (Wall Pictures) <br />iii. ภาพตัด (Cut-out Pictures) <br />iv. สมุดภาพ (Pictorial Books, Scrapt Books) <br />v. ภาพถ่าย (Photographs)<br />II. ภาพที่ต้องฉาย (Project Pictures)<br />i. สไลด์ (Slides) <br />ii. ฟิล์มสตริป (Filmstrips) <br />iii. ภาพทึบ (Opaque Projected Pictures) <br />iv. ภาพโปร่งแสง (Transparencies) <br />v. ภาพยนตร์ 16 มม., 8 มม., (Motion Pictures) <br />vi. ภาพยนตร์ (Video Tape)<br /> <br /> 2. ประเภทวัสดุอุปกรณ์ลายเส้น (Graphic Instructional Materials) <br />I. แผนภูมิ (Charts) <br />II. กราฟ (Graphs) <br />III. แผนภาพ (Diagrams) <br />IV. โปสเตอร์ (Posters) <br />V. การ์ตูน (Cartoons, Comic strips) <br />I. การแสดงหุ่น (Pupetry)<br />ข. ประเภทเครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์ (Audio-Visual Equipments)<br />1. เครื่องฉายภาพยนตร์ 16 มม. , 8 มม. <br />2. เครื่องฉายสไลด์และฟิล์มสตริป (Slide and Filmstrip Projector) <br />3. เครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projectors) <br />4. เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) <br />5. เครื่องฉายกระจกภาพ (3 1/4 "x 4" หรือ Lantern Slide Projector) <br />6. เครื่องฉายภาพจุลทัศน์ (Micro-Projector) <br />7. เครื่องเล่นจานเสียง (Record Plays) <br />8. เครื่องเทปบันทึกภาพ (Video Recorder) <br />9. เครื่องรับโทรทัศน์ (Television Receiver) <br />10. จอฉายภาพ (Screen) <br />11. เครื่องรับวิทยุ(Radio Receive) <br />12. เครื่องขยายเสียง(Amplifier) <br />13. อุปกรณ์เทคโนโลยีแบบใหม่ต่างๆ (Modern Instructional Technology Devices) เช่น โทรทัศนศึกษา ห้องปฏิบัติการภาษา โปรแกรมเรียน (Programmed Learning) และอื่นๆ <br /> จากการศึกษาถึงความสำคัญ ตลอดจนการแบ่งประเภทและชนิดของสื่อการสอนข้างต้น <br />ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสื่อการสอนที่มีบทบาทในการทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมี<br />ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี แม้สื่อการสอนจะมีความสำคัญและมีประโยชน์มาก แต่ก็ต้องอาศัยเทคนิคในการใช้สื่อการสอนด้วย <br /><br /><strong>........1.2 คุณค่า และประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน<br /> คุณค่า และประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน</strong> 1) คุณค่าของสื่อการเรียนการสอน<br /> 1. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่<br /> 1.1 เรียนรู้ได้ดีขึ้นจากประสบการณ์ที่มีความหมายในรูปแบบต่าง ๆ<br /> 1.2 เรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง<br /> 1.3 เรียนรู้ได้ง่ายและเข้าใจได้ชัดเจน<br /> 1.4 เรียนรู้ได้มากขึ้น<br /> 1.5 เรียนรู้ได้ในเวลาที่จำกัด<br /> 2. ช่วยให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเรียนรู้ ได้แก่<br />2.1 ทำสิ่งนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น<br />2.2 ทำสิ่งซับซ้อนให้ง่ายขึ้น<br />2.3 ทำสิ่งเคลื่อนไหวช้าให้เร็วขึ้น<br />2.4 ทำสิ่งเคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง<br />2.5 ทำสิ่งเล็กให้ใหญ่ขึ้น<br />2.6 ทำสิ่งใหญ่ให้เล็กลง<br />2.7 นำสิ่งที่อยู่ไกลมาศึกษาได้<br />2.8 นำสิ่งที่เกิดในอดีตมาศึกษาได้ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้<br />2.9 ช่วยให้จดจำได้นาน เกิดความประทับใจและมั่นใจในการเรียน<br />2.10 ช่วยให้ผู้เรียนได้คิดและแก้ปัญหา<br />2.11 ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล<br /><br />2)คุณค่าของสื่อการเรียนการสอนการเรียนการสอน<br /> 1.สื่อการเรียนการสอนสามารถเอาชนะข้อจำกัดเรื่องความแตกต่างกันของประสบการณ์ดั้งเดิมของผู้เรียน คือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซึ่งมีประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกัน <br /> 2.ขจัดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ ประสบการณ์ตรงบางอย่าง หรือการเรียนรู้ <br /> 3.ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมและสังคม <br /> 4.สื่อการเรียนการสอนทำให้เด็กมีความคิดรวบยอดเป็นอย่างเดียวกัน <br /> 5.ทำให้เด็กมีมโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ <br /> 6.ทำให้เด็กมีความสนใจและต้องการเรียนในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เช่นการอ่าน ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ทัศนคติ การแก้ปัญหา ฯลฯ <br /> 7.เป็นการสร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ <br /> 8.ช่วยให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จากรูปธรรมสู่นามธรรม<br /><br />สื่อการเรียนการสอนมีประโยชน์สำหรับครูผู้สอนอย่างไร <br /> สื่อการเรียนการสอนสามรถช่วยการเรียนการสอนของครูได้ดีมากซึ่งเราจะเห็นว่าครูนั้นสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากทีเดียว แถมยังช่วยให้ครูมีความรู้มากขึ้นในการจัดแหล่งวิทยาการที่เป็นเนื้อหาเหมาะสมแก่การเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในการสอนช่วยครูในด้านการคุมพฤติกรรมการเรียนรู้และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้มากทีเดียว สื่อการสอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมหลายๆรูปแบบ เช่น การใช้ศูนย์การเรียน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสาธิต การแสดงนาฏการ เป็นต้น ช่วยให้ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน และยังช่วยในการขยายเนื้อหาที่เรียนทำให้การสอนง่ายขึ้น และยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอน นักเรียนจะได้มีเวลาในการทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้นจากข้อมูลเราจะได้เห็นถึงประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน ซึ่งทำให้เรามองเห็นถึงความสำคัญของสื่อสารมีประโยชน์และมีความจำเป็นสามารถช่วยพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br /><br />ประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอนที่มีต่อผู้เรียน<br /> ช่วยกระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียน<br /> ช่วยให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก และรวดเร็ว<br /> ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลในบริบทของการเรียนรู้<br /> ช่วยให้เกิดปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน และระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน<br /> ช่วยให้สมมารถนำเนื้อหาที่มีข้อจำกัดมาสอนในชั้นเรียนได้<br /> ช่วยให้ผู้เรียน เรียนอย่างกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมกับการเรียน<br /> ช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน และไม่เบื่อหน่วยต่อการเรียน<br /><br /><strong>........1.3 หลักการเลือกและการใช้สื่อการเรียนการสอน <br />การใช้สื่อการเรียนการสอน</strong>การที่ผู้สอนจะนำสื่อการสอนมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์นั้น มีหลักการที่ผู้สอนควรมีความเข้าใจในการใช้สื่อการสอน ซึ่งแบ่งหลักการออกเป็น 4 ขั้นตอนตามช่วงเวลาของการใช้สื่อการสอนดังนี้<br /><br />หลักการใช้สื่อการสอน <br /><br />การที่ผู้สอนจะนำสื่อการสอนมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์นั้น มีหลักการที่ผู้สอนควรมีความเข้าใจในการใช้สื่อการสอน ซึ่งแบ่งหลักการออกเป็น 4 ขั้นตอนตามช่วงเวลาของการใช้สื่อการสอนดังนี้ <br /><br />1. การวางแผน (Planning) <br />การใช้สื่อการสอนต้องมีการวางแผน โดยในขั้นของการวางแผนคือการพิจารณาว่าจะเลือกใช้สื่อใดในการเรียนการสอน ซึ่งรายละเอียดของการเลือกใช้สื่อการสอนได้กล่าวไว้ในหัวข้อหลักการเลือกใช้สื่อการสอน อย่างไรก็ตามการวางแผนเป็นขั้นตอนแรก และเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก ผู้ใช้สื่อการสอนควรเลือกใช้สื่อการสอนโดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน หากการวางแผนผิดพลาด ก็จะทำให้การใช้สื่อการสอนล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติการใช้สื่อการสอนเลย <br />2. การเตรียมการ (Preparation) <br />เมื่อได้วางแผนเลือกใช้สื่อการสอนแล้ว ขั้นต่อมาคือการเตรียมการสิ่งต่างๆ เพื่อให้การใช้สื่อการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนใช้สื่อการสอน ผู้ใช้ควรเตรียมความพร้อมในสิ่งต่างๆ ดังนี้ <br />2.1 การเตรียมความพร้อมของผู้สอน <br />เพื่อให้ภาพของผู้สอนในการใช้สื่อการสอนเป็นไปอย่างดีและราบรื่น เป็นที่ประทับใจต่อผู้เรียน และสำคัญที่สุดคือ การสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้สอน ดังนั้นผู้สอนควรมีการเตรียมพร้อมในการใช้สื่อการสอน เช่น การเตรียมบทบรรยายประกอบสื่อ การจัดลำดับการใช้สื่อ การตรวจเช็คสภาพหรือทดลองสื่อก่อนการใช้งานจริง <br /><br /><br />2.2 การเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียน <br />ก่อนใช้สื่อการสอน ผู้สอนควรทำความเข้าใจกับผู้เรียนถึงกิจกรรมการเรียน และลักษณะการใช้สื่อการสอน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนทราบบทบาทของตน และเตรียมตัวที่จะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหรือตอบสนองต่อสื่อ <br /><br />2.3 การเตรียมความพร้อมของสื่อและอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ร่วมกัน <br />สื่อการสอนบางอย่างต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นด้วย ดังนั้น ผู้ใช้สื่อ ควรทดสอบการใช้สื่อก่อนใช้งานจริง เช่น การตรวจสอบแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า การตรวจสอบการเสียบปลั๊กหรือสายไฟต่างๆ เป็นต้น <br /><br />2.4 การเตรียมความพร้อมของสภาพแวดล้อมและห้องสอน <br />สื่อแต่ละอย่างเหมาะสมที่จะใช้กับสภาพห้องหรือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป เช่น ขนาดของห้องเรียนควรเหมาะสมกับสื่อที่ใช้ สภาพของแสงหรือเสียงก็ควรจัดให้เหมาะสมเช่นกัน <br /><br /><br />3. การนำเสนอสื่อ (Presentation)<br />ในช่วงการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน อาจแบ่งช่วงเวลาออกได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงนำเข้าสู่บทเรียน ช่วงสอนเนื้อหาบทเรียน และช่วงสรุป ในทุกช่วงเวลาสามารถนำสื่อการสอนเข้ามาใช้อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการรับรู้หรือการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เลือกใช้สื่อการสอนควรมีความเข้าใจว่าสื่อการสอนที่นำมาใช้ในแต่ละช่วงเวลาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด<br />1. ช่วงนำเข้าสู่บทเรียน <br />การใช้สื่อการสอนช่วงนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการใช้สื่อเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนในการที่จะเริ่มต้นเรียน และเพื่อสร้างความน่าสนใจให้แก่บทเรียน <br /><br />2. ช่วงสอนเนื้อหาบทเรียน <br />การใช้สื่อการสอนในช่วงสอนเนื้อหาบทเรียน เป็นการใช้สื่อเพื่อถ่ายทอดสาระ ความรู้ หรือเนื้อหาบทเรียนให้แก่ผู้เรียน เพื่อสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร <br /><br /><br /><br />3. ช่วงสรุปบทเรียน <br />ในช่วงสุดท้ายของการสอน ควรมีการใช้สื่อการสอนเพื่อสรุปเนื้อหาที่สำคัญของบทเรียน เพื่อช่วยผู้เรียนในการสรุปสาระที่ควรจำ หรือเพื่อช่วยโยงไปสู่เนื้อหาในบทต่อไป<br /><br />นอกจากการใช้สื่อการสอนให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของช่วงการนำเสนอแล้ว ในขณะที่ใช้สื่อยังมีหลักการที่ควรปฏิบัติดังนี้<br /><br />3.1 ใช้สื่อการสอนตามลำดับที่วางแผนไว้ หากพบปัญหาเฉพาะหน้าควรแก้ไขลำดับการนำเสนอในภาพรวมให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด<br />3.2 ควบคุมเวลาการใช้สื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางอย่างไว้อย่างดีแล้ว คือใช้เวลาให้เหมาะสมกับเนื้อหา ไม่นำเสนอเร็วหรือช้าเกินไป<br />3.3 ไม่ควรให้ผู้เรียนเห็นสื่อก่อนการใช้ เพราะอาจทำให้ผู้เรียนหมดความตื่นเต้นหรือหมดความน่าสนใจ หรือไม่ควรนำเสนอสื่อหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะสื่อหนึ่งอาจแย่งความสนใจจากอีกสื่อหนึ่ง หรืออาจทำให้ผู้เรียนสับสน หรืออาจมีปัญหาในเรื่องการรับรู้ของผู้เรียนที่ไม่สามารถรับรู้ได้พร้อมๆ กัน<br />3.4 ทำกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบการใช้สื่อการสอนตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ เช่น การระดมสมอง การตั้งคำถาม การอภิปราย เป็นต้น<br />3.5 การนำเสนอควรมีจุดเน้นและอธิบายรายละเอียดในส่วนที่สำคัญ ในขณะนำเสนอ โดยเฉพาะจุดที่ผู้เรียนไม่เข้าใจและสับสน<br />3.6 การนำเสนอด้วยสื่อควรออกแบบให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับการนำเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิสัมพันธ์ด้านการใช้ความคิด ผู้เรียนควรมีโอกาสมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหรือการใช้สื่ออย่างทั่วถึง<br /><br /><br />4. การติดตามผล (Follow - up) <br />ภายหลังการใช้สื่อการสอนแล้ว ผู้สอนควรทำการซักถาม ตอบคำถามผู้เรียน หรืออภิปรายเกี่ยวกับเนื้อหาของสื่อที่ได้นำเสนอไปแล้ว เพื่อสรุปถึงประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับ และเพื่อทำการประเมินผู้เรียนว่ามีความเข้าใจบทเรียนเพียงใด และเพื่อประเมินประสิทธิภาพของสื่อการสอน ตลอดจนวิธีการใช้สื่อการสอนของครูว่า มีข้อดี ข้อบกพร่อง หรือสิ่งที่ควรแก้ไขต่อไปอย่างไรบ้าง <br /><br /><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">หน่วยที่ 2 จิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อการเรียนการสอน</span><br /></span></span><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/2.1.doc">........2.1 จิตวิทยาการรับรู้ </a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/2.2.doc">........2.2 จิตวิทยาการเรียนรู้ </a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/2.3.doc">........2.3 จิตวิทยาพัฒนาการ </a></span><br /></span><span style="color:#3366ff;"><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">หน่วยที่ 3 การสื่อสาร</span><br /></span></span><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/3.1.doc">........3.1 ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร</a> <br /><br /> การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ<br /> องค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย <br /> 1. ผู้ส่ง ผู้สื่อสาร หรือต้นแหล่งของการส่ง (Sender, Communicatior or Source) เป็นแหล่งหรือผู้ที่นำข่าวสารเรื่องราว แนวความคิด ความรู้ ตลอดจนเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อส่งไปยังผู้รับซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือกลุ่มชนก็ได้ ผู้ส่งนี้จะเป็นบุคคลเพียงคนเดียว กลุ่มบุคคลหรือสถาบัน โดยอยู่ในลักษณะต่าง ๆ ได้หลายอย่าง <br /> 2. เนื้อหาเรื่องราว (Message) ได้แก่ เนื้อหาของสารหรือเรื่องราวที่ส่งออกมา เช่น ความรู้ ความคิด ข่าวสาร บทเพลง ข้อเขียน ภาพ ฯลฯ เพื่อให้ผู้รับรับข้อมูลเหล่านี้<br /> 3. สื่อหรือช่องทางในการนำสาร (Media or Channel) หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยถ่ายทอดแนวความคิด เหตุการณ์ เรื่อราวต่าง ๆ ที่ผู้ส่งต้องการให้ไปถึงผู้รับ <br /> 4. ผู้รับหรือกลุ่มเป้าหมาย (Receiver or Target Audience) ได้แก่ ผู้รับเนื้อหาเรื่องราวจากแหล่งหรือที่ผู้ส่งส่งมา ผู้รับนี้อาจเป็นบุคคล กลุ่มชน หรือสถาบันก็ได้ <br /> 5. ผล (Effect) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ส่งส่งเรื่องราวไปยังผู้รับ ผลที่เกิดขึ้นคือ การที่ผู้รับอาจมีความเข้าใจหรือไม่รู้เรื่อง ยอมรับหรือปฏิเสธ พอใจหรือโกรธ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นผลของการสื่อสาร และจะเป็นผลสืบเนื่องต่อไปว่าการสื่อสารนั้นจะสามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับทัศนคติของผู้รับ สื่อที่ใช้ และสถานการณ์ในการสื่อสารเป็นสำคัญด้วย<br /> 6. ปฏิกริยาสนองกลับ (Feedback) เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องจากผลซึ่งผู้รับส่งกลับมายังผู้ส่งโดยผู้รับอาจแสดงอาการให้เห็น เช่น ง่วงนอน ปรบมือ ยิ้ม พยักหน้า การพูดโต้ตอบ หรือการแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นข้อมูลที่ทำให้ผู้ส่งทราบว่า ผู้รับมีความพอใจหรือมีความเข้าใจในความหมายที่ส่งไปหรือไม่ปฏิกริยาสนองกลับนี้คือข้อมูลย้อนกลับอันเกิดจากการตอบสนองของผู้รับที่ส่งกลับไปยังผู้ส่งนั่นเอง<br /><br />กระบวนการสื่อสาร<br /> กระบวนการสื่อสาร (Communication Process) โดยทั่วไปเริ่มต้นจากผู้ส่งข่าวสาร (Sender) ทำหน้าที่เก็บรวบรวม<br />แนวความคิดหรือข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เมื่อต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสาร ก็จะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูล<br />ที่เกี่ยวข้องออกมาเป็น ตัวอักษร น้ำเสียง สี การเคลื่อนไหว ฯลฯ ซึ่งเรียกว่าข่าวสาร (Massage) จะได้รับการใส่รหัส (Encoding) แล้วส่งไปยังผู้รับข่าวสาร (Receivers) ผ่านสื่อกลาง (Media) ในช่องทางการสื่อสาร (Communication Channels) ประเภทต่าง ๆ หรืออาจจะถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ ผู้รับข่าวสาร เมื่อได้รับข่าวสารแล้วจะถอดรหัส (Decoding) ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีต หรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และมีปฏิกริยาตอบสนองกลับไปยังผู้ส่งข่าวสารซึ่งอยู่ในรูปขอความรู้ ความเข้าใจ การตอบรับ การปฏิเสธหรือการนิ่งเงียงก็เป็นได้ ทั้งนี้ข่าวสารที่ถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารทั้งหมดก็เป็นได้ หรือข่าวสารอาจถูกบิดเบือนไปเพราะในกระบวนการสื่อสาร ย่อมมีโอกาสเกิดสิ่งรบกวน หรือตัวแทรกแซง(Noise or Interferes) ได้ ทุกขั้นตอนของการสื่อสาร<br /><br />คุณลักษณะของผู้ประสบความสำเร็จในการสื่อสาร<br /> 1. มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ<br /> 2. มีทักษะในการสื่อสาร<br /> 3. เป็นคนช่างสังเกต เรียนรู้ได้เร็ว และมีความจำดี<br /> 4. มีความซื่อตรง มีความกล้าที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง<br /> 5. มีความคิดสุขุม รอบคอบ<br /> 6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์<br /> 7. คิดและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี<br /> 8. มีความสามารถแยกแยะและจัดระเบียบข่าวสารต่าง ๆ<br /> 9. มีความสามารถในการเขียนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ<br /> 10. มีศิลปะและเทคนิคการจูงใจคน<br /> 11. รู้ขั้นตอนการทำงาน<br /> 12. มีมนุษยสัมพันธ์ดี<br /><br /><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/3.2.doc">........3.2 รูปแบบของการสื่อสาร</a><br /> รูปแบบของการสื่อสาร แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ<br /> 2.1 การสื่อสารทางเดียว (One - Way Communication) เป็นการส่งข่าวสารหรือการสื่อความหมายไปยังผู้รับแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผู้รับไม่สามารถมีการตอบสนองในทันที (immediate response) ให้ผู้ส่งทราบได้ แต่อาจจะมีปฏิกิริยาสนองกลับ (feedback) ไปยังผู้ส่งภายหลังได้ การสื่อสารในรูปแบบนี้จึงเป็นการที่ผู้รับไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้ทันที จึงมักเป็นการสื่อสารโดยอาศัยสื่อมวลชน เช่น การฟังวิทยุ หรือการชมโทรทัศน์ เหล่านี้เป็นต้น<br /> การเรียนรู้ในรูปแบบการสื่อสารทางเดียว<br /> การให้สิ่งเร้าแก่ผู้เรียนในรูปแบบการสื่อสารทางเดียวหรือในการสื่อสารระบบวงเปิด (Open-Loop System) นี้ สามารถให้ได้โดยใช้การฉายภาพยนตร์ วีดิทัศน์ การใช้โทรทัศน์วงจรปิดในการสอนแก่ผู้เรียนจำนวนมากในห้องเรียนขนาดใหญ่ หรือการสอนโดยใช้วิทยุและโทรทัศน์การศึกษาแก่ผู้เรียนที่เรียนอยู่ที่บ้าน การแปลความหมายของผู้เรียนต่อสิ่งเร้าก่อนจะมีการตอบสนองที่เหมาะสมนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพราะถ้าขอบข่ายประสบการณ์ของผู้เรียนมีน้อยหรือแตกต่างไปจากผู้สอนมากจะทำให้การเรียนนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjP1TdMwaDQveNVDWK9AkZwm35l9hrRUk-uMhx-pEGGmDYpxoAy3FzfG4Y43Rq1T1hBnDIgt8sJ3tbxI9fF-0WBbykpob9B5gUD2_jgcnEVIQCDWV95ttl3pMQKNDt0Ug5MIA4jfwu70c0/s1600-h/3.21.bmp"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjP1TdMwaDQveNVDWK9AkZwm35l9hrRUk-uMhx-pEGGmDYpxoAy3FzfG4Y43Rq1T1hBnDIgt8sJ3tbxI9fF-0WBbykpob9B5gUD2_jgcnEVIQCDWV95ttl3pMQKNDt0Ug5MIA4jfwu70c0/s400/3.21.bmp" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108535061504730562" /></a><br /><br /> รูปแบบของสิ่งเร้า การแปลความหมาย และการตอบสนอง<br /><br />ในการสื่อสารทางเดียว โดยไม่มีปฏิกริยาสนองกลับส่งไปยังผู้สอนหรือสิ่งเร้า ดังนั้น การเรียนการสอนโดยใช้ผู้สอนหรือใช้สื่อการสอนในรูปแบบการสื่อสารทางเดียวหรือการสื่อสารในระบบวงเปิดนี้ จึงควรจะมีการอธิบายความหมายของเนื้อหาบทเรียนให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนการเรียนหรืออาจจะมีการอภิปรายภายหลังจากการเรียนหรือดูเรื่องราวนั้นแล้วก็ได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและแปลความหมายในสิ่งเร้านั้นอย่างถูกต้องตรงกันจะได้มีการตอบสนองและเกิดการเรียนรู้ได้ในทำนองเดียวกันด้วย<br /><br /> 2.2 การสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication) เป็นการสื่อสารหรือการสื่อความหมายที่ผู้รับมีโอกาสตอบสนองมายังผู้ส่งได้ในทันที โดยที่ผู้ส่งและผู้รับอาจจะอยู่ต่อหน้ากันหรืออาจอยู่คนละสถานที่ก็ได้ แต่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถมีการเจรจาหรือการโต้ตอบกันไปมา โดยที่ต่างฝ่ายต่างผลัดกันทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับในเวลาเดียวกัน เช่น การพูดโทรศัพท์ การประชุม เป็นต้น<br /> การเรียนรู้ในรูปแบบการสื่อสารสองทาง<br /> การให้สิ่งเร้าแก่ผู้เรียนในรูปแบบการสื่อสารสองทงหรือการสื่อสารระบบวงปิด (Closed Loop System) นี้ สามารถให้ได้โดยการใช้อุปกรณ์ประเภทเครื่องช่วยสอน (Teaching Machine) หรือการอภิปรายกันในระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ทั้งนี้เพราะในสถานการณ์ของการสื่อสารแบบนี้ เนื้อหาข้อมูลต่างจะผ่านอยู่แต่เฉพาะในระหว่างกลุ่มบุคคลที่อยู่ในที่นั้น โดยถ้าเป็นการเรียนโดยการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือการใช้เครื่องช่วยสอน เนื้อหาความรู้จะถูกส่งจากเครื่องไปยังผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนทำการตอบสนองโดยส่งคำตอบหรือข้อมูลกลับไปยังเครื่องอีกครั้งหนึ่ง หรือถ้าเป็นการอภิปรายในห้องเรียนผู้สอนและผู้เรียนจะมีการโต้ตอบเนื้อหาความรู้กัน เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเช่นเดียวกันการใช้อุปกรณ์การสอนดังกล่าวมาแล้วการใช้การสื่อสารรูปแบบนี้ในการเรียนการสอนมีข้อดีที่สำคัญหลายประการโดยเมื่อผู้รับมีการตอบสนองแล้ว จะเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ส่งและมีปฏิกริยาสนองกลับส่งไปยังผู้ส่งเดิมซึ่งจะกลายเป็นผู้รับ<br /> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEih8VenETufkrXeTy_QVGeULNkSMurxajqNfXuAAiQlEIDEai2mTWljWOTjGKD-FsioMGDCbv936CbqYE6LGOO6eYd9GKeHuDut02mA1zr9WbeX8PBZxJwfgb9awAnUR-MmfMhWBvs5Il4/s1600-h/3.22.bmp"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEih8VenETufkrXeTy_QVGeULNkSMurxajqNfXuAAiQlEIDEai2mTWljWOTjGKD-FsioMGDCbv936CbqYE6LGOO6eYd9GKeHuDut02mA1zr9WbeX8PBZxJwfgb9awAnUR-MmfMhWBvs5Il4/s400/3.22.bmp" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108536014987470290" /></a><br /><br />........3.3 แบบจำลองของการสื่อสาร <br /> แบ่งตามแนวคิดได้ดังนี้<br /><br />แลสแวลล์ (Lasswell)<br /> เป็นนักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่ได้ทำการวิจัยในเรื่องการสื่อสารมวลชนไว้ ในปี ค.ศ. 1948 และได้คิดสูตรการสื่อสารที่ถึงพร้อมด้วยกระบวนการสื่อสารที่สอดคล้องกัน โดยในการสื่อสารนั้นจะต้องตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้คือ <br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7CICl6uDRvotgZj1NtWr3XDQNbTizaVmTon7UnvkH62-xE6sHMGeaOqiPa4CXY4RVTkQ7jOGPJtbkiOI3xZVUgct6-CUvQCt9vJWmwzrp2u10zgdA0X1z8w00saRiIBomKFuMoGU4dWM/s1600-h/3.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7CICl6uDRvotgZj1NtWr3XDQNbTizaVmTon7UnvkH62-xE6sHMGeaOqiPa4CXY4RVTkQ7jOGPJtbkiOI3xZVUgct6-CUvQCt9vJWmwzrp2u10zgdA0X1z8w00saRiIBomKFuMoGU4dWM/s400/3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108541125998552546" /></a><br />สูตรการสื่อสารของแลสแวลล์เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปโดยสามารถนำมาเขียนเป็นรูปแบบจำลองและเปรียบเทียบกับองค์ประกอบของการสื่อสารได้ดังนี้<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjupm9aflyIEryuBzxPiHGrUYNISQj14zCT9-5oh2SWbi8OmN9n9kYlaPv5pZ-iwkR_DOwDCD2_ZYCV9G6U3_ZKlBS-aEpBmBthc72faApYEOM_ojX3GCajidbnS4xsHVFFCp_Iqp_5DwE/s1600-h/Untitled-2.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjupm9aflyIEryuBzxPiHGrUYNISQj14zCT9-5oh2SWbi8OmN9n9kYlaPv5pZ-iwkR_DOwDCD2_ZYCV9G6U3_ZKlBS-aEpBmBthc72faApYEOM_ojX3GCajidbnS4xsHVFFCp_Iqp_5DwE/s400/Untitled-2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108541804603385330" /></a><br /><br /><br />เปรียบเทียบการสื่อสารของแลสแวลล์กับองค์ประกอบของการสื่อสาร<br /><br />ในการที่จะจัดให้การเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพดีนั้น เราสามารถนำสูตรของแลสแวลล์มาใช้ได้เช่นเดียวกับการสื่อสารธรรมดา (Coppen 1974:15-17) คือ<br /> 1. ใคร (Who) เป็นผู้ส่งหรือผู้ทำการสื่อ<br /> 2. พูดอะไร ด้วยวัตถุประสงค์อะไร (Says what, with what purpose) เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวสารที่ส่ง<br /> 3. โดยใช้วิธีการและช่องทางใด (By what means, in what channel) ผู้ส่งทำการส่งข่าวสารโดยการพูด การแสดงกิริยาท่าทาง ใช้ภาพ ฯลฯ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์ระบบไฟ<br /> 4. ส่งไปยังใคร ในสถานการณ์อะไร (To whom, in what situation) ผู้ส่งจะส่งข่าวสารไปยังผู้รับเป็นใครบ้าง เนื่องในโอกาสอะไร<br /> 5. ได้ผลอย่างไรในปัจจุบันและอนาคต (With what effect, immediate and long term?) การส่งข่าวสารนั้นเพื่อให้ผู้รับฟังผ่านไปเฉย ๆ หรือจดจำด้วยซึ่งต้องอาศัยเทคนิควิธีการที่แตกต่างกัน<br />เบอร์โล (Berlo)<br /><br /> เป็นผู้คิดกระบวนการของการติดต่อสื่อสารไว้ในลักษณะรูปแบบจำลอง S M C R Model (ดังรูป) (Berlo 1960:40-71) อันประกอบด้วย<br /> 1. ผู้ส่ง (Source) ต้องเป็นผู้ที่มีทักษะความชำนาญในการสื่อสาร โดยมีความสามารถใน "การเข้ารหัส" (encode) เนื้อหาข่าวสาร มีทัศนคติที่ดีต่อผู้รับเพื่อผลในการสื่อสาร มีความรู้อย่างดีเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่จะส่ง และควรจะมีความสามารถในการปรับระดับของข้อมูลนั้นให้เหมาะสมและง่ายต่อระดับความรู้ของผู้รับ ตลอดจนพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับผู้รับด้วย<br /> 2. ข้อมูลข่าวสาร (Message) เกี่ยวข้องทางด้านเนื้อหา สัญลักษณ์ และวิธีการส่งข่าวสารนั้น<br /> 3. ช่องทางในการส่ง (Channel) หมายถึง การที่จะส่งข่าวสารโดยการให้ผู้รับได้รับข่าวสารข้อมูลโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง คือ การได้ยิน การดู การสัมผัส การลิ้มรส หรือการได้กลิ่น<br /> 4. ผู้รับ (Receiver) ต้องเป็นผู้มีทักษะความชำนาญในการสื่อสาร โดยมีความสามารถใน "การถอดรหัส" (decode) สาร เป็นผู้ที่มีทัศนคติ ระดับความรู้ และพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมเช่นเดียวหรือคล้ายคลึงกันกับผู้ส่งจึงจะทำให้การสื่อความหมายหรือการสื่อสารนั้นได้ผล<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCEyI0Z_Qd6NGEL0hzRUjbtKhjWyaqc1d9w32e9eWf0Nay0hu2WivoF2OEWs_lJyRx2wrCtmOB5qy74wuN_IybQwBW2nzqZgN9b2RNEMPwdCOcJU3QNHUgN6valxobPEoHSsERQPy1YHI/s1600-h/Untitled-3.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCEyI0Z_Qd6NGEL0hzRUjbtKhjWyaqc1d9w32e9eWf0Nay0hu2WivoF2OEWs_lJyRx2wrCtmOB5qy74wuN_IybQwBW2nzqZgN9b2RNEMPwdCOcJU3QNHUgN6valxobPEoHSsERQPy1YHI/s400/Untitled-3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108542629237106178" /></a><br /><br />ตามลักษณะของ S M C R Model นี้ มีปัจจัยสำคัญที่มีความสำคัญต่อขีดความสามารถของผู้ส่งและผู้รับที่จะทำให้การสื่อความหมายนั้นได้ผลสำเร็จหรือไม่เพียงใด ได้แก่<br /> 1.ทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) หมายถึง ทักษะซึ่งทั้งผู้ส่งและผู้รับควรจะมีความชำนาญในการส่งและการรับสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันได้อย่างถูกต้อง<br /> 2. ทัศนคติ (Attiudes) เป็นทัศนคติของผู้ส่งและผู้รับซึ่งมีผลต่อการสื่อสาร ถ้าผู้ส่งและผู้รับมีทัศนคติที่ดีต่อกันก็จะทำให้การสื่อสารได้ผลดี ทั้งนี้เพราะทัศนคติย่อมเกี่ยวโยงไปถึงการยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างผู้ส่งละผู้รับด้วย<br /> 3. ระดับความรู้ (Knowledge Levels) ถ้าผู้ส่งและผู้รับมีระดับความรู้ที่เท่าเทียมกันก็จะทำให้การสื่อสารนั้นลุล่วงไปด้วยดี แต่ถ้าหากความรู้ของผู้ส่งและผู้รับมีระดับที่แตกต่างกัน ย่อมจะต้องมีการปรับความยากง่ายของข้อมูลที่จะส่งในด้านของความยากง่ายของภาษาและถ้อยคำสำนวนที่ใช้ <br /> 4. ระบบสังคมและวัฒนธรรม (Socio-Culture Systems) ระบบสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละชาติเป็นสิ่งที่มีส่วนกำหนดพฤติกรรมของประชาชนในชาตินั้น ซึ่งเกี่ยวข้องไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติ สังคมและวัฒนธรรมในแต่ละชาติย่อมมีความแตกต่างกันไป<br /><br /><br /><br />แชนนันและวีเวอร์ (Shannon and Weaver)<br /> ได้คิดรูปแบบจำลองของการสื่อสารขึ้นในลักษณะของกระบวนการสื่อสารทางเดียวเชิงเส้นตรง (Shannon and Weaver 1949:7) (รูปที่ 1) กระบวนการนี้เริ่มด้วยผู้ส่งซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลทำหน้าที่ส่งเนื้อหาข่าวสารเพื่อส่งไปยังผู้รับ โดยผ่านทางเครื่องส่งหรือตัวถ่ายทอดในลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งไปในช่องทางต่าง ๆ กันแล้วแต่ลักษณะของการส่งสัญญาณแต่ละประเภท เมื่อทางฝ่ายผู้รับได้รับสัญญาณแล้ว สัญญาณที่ได้รับจะถูกปรับให้เหมาะสมกับเครื่องรับหรือการรับเพื่อทำการแปลสัญญาณให้เป็นเนื้อหาข่าวสารนั้นอีกครั้งหนึ่งให้ตรงกับที่ผู้ส่งส่งมา ในขั้นนี้เนื้อหาที่รับจะไปถึงจุดหมายปลายทางคือผู้รับตามที่ต้องการ แต่ในบางครั้งสัญญาณที่ส่งไปอาจถูกรบกวนหรืออาจมีบางสิ่งบางอย่างมาขัดขวางสัญญาณนั้น ทำให้สัญญาณที่ส่งไปกับสัญญาณที่ไดรับมีความแตกต่างกัน เป็นเหตุทำให้เนื้อหาข่าวสารที่ส่งจากแหล่งข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทางอาจจะผิดกันไป นับเป็นความล้มเหลวของการสื่อสารเนื่องจากข้อมูลที่ส่งไปกับข้อมูลที่ได้รับไม่ตรงกัน อันจะทำให้เกิดการแปลความหมายผิดหรือความเข้าใจในการสื่อสารกันได้<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIS_pqzYnaOWztosXgJEtxiaA9LolifvhzIXxY6behJ5UcLNYoBRSMRCPRjU2O6jcsVP87VnHjTXAXuXqraaPxpKVSgpq5xxXaQRORGy3Z-jj6dyNCC_TG3jUk8ID0mbPwWlYH1t-UHR0/s1600-h/Untitled-4.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIS_pqzYnaOWztosXgJEtxiaA9LolifvhzIXxY6behJ5UcLNYoBRSMRCPRjU2O6jcsVP87VnHjTXAXuXqraaPxpKVSgpq5xxXaQRORGy3Z-jj6dyNCC_TG3jUk8ID0mbPwWlYH1t-UHR0/s400/Untitled-4.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108543183287887378" /></a><br /><br />จากรูปแบบจำลองนี้พิจารณาได้ว่า แซนนันและวีเวอร์สนใจว่าเมื่อมีการสื่อสารกัน จะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้อมูลข่าวสารที่ส่งไปนั้นไม่ว่าจะเป็นการส่งโดยผ่านอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าหรือการส่งโดยใช้สัญญาณต่าง ๆ เช่น เมื่อมีการเปิดเพลงออกอากาศทางสถานีวิทยุ เสียงเพลงนั้นจะถูกแปลงเป็นสัญญาณและส่งด้วยวิธีการ modulation จากสถานีวิทยุไปยังเครื่องรับวิทยุ โดยที่เครื่องรับจะแปลงสัญญาณคลื่นนั้นเป็นเพลงให้ผู้รับได้ยิน ในขณะที่สัญญาณถูกส่งไปจะมีสิ่งต่าง ๆ หลายอย่างมาเป็นอุปสรรคในการส่งโดยการรบกวนสัญญาณนั้นให้เสียไป เราจึงเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "สิ่งรบกวน" (Noise Source) เช่น ในการส่งวิทยุระบบ AM สัญญาณจะถูกรบกวนโดยไฟฟ้าในบรรยากาศ หรือในขณะที่ครูฉายภาพยนตร์ในห้องเรียน การรับภาพและเสียงของผู้เรียนจะถูกรบกวนโดยสิ่งรบกวนหลายอย่าง<br /><br />ชแรมม์ (Schramm)<br /> ได้นำรูปแบบจำลองการสื่อสารลักษณะกระบวนการสื่อสารทางเดียวเชิงเส้นตรงของแซนนันและวีเวอร์มาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายการสื่อสารที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอน (Schramm 1954 : 116) โดยเน้นถึงวัตถุประสงค์ของการสอน ความหมายของเนื้อหาข้อมูล และการที่ข้อมูลได้รับการแปลความหมายอย่างไร นอกจากนี้ ชแรมม์ยังให้ความสำคัญของการสื่อความมหาย การรับรู้และการแปลความหมายของสัญลักษณ์ ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนการสอน ตามลักษณะรูปแบบจำลองของชแรมม์นี้ การสื่อสารจะเกิดขึ้นได้อย่างดีมีประสิทธิภาพเฉพาะในส่วนที่ผู้ส่งและผู้รับทั้งสองฝ่ายต่างมีวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ความรู้ ฯลฯ ที่สอดคล้องคล้ายคลึงและมีประสบการณ์ร่วมกัน จึงจะทำให้สามารถเข้าใจความหมายที่สื่อกันนั้นได้ ทั้งนี้เพราะผู้ส่งสามารถเข้ารหัสและผู้รับสามารถถอดรหัสเนื้อหาข่าวสารได้เฉพาะในขอบข่ายประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjizpLocYlweNMiSIZIJyEFzgQobcWEeIsUV_z5N8o42ydR6E3EPukndCVk_Et2-chDT-QdpTVZDIeyD1PDvF2ZVKIN0JoufGrWpxZWBEdyhf49S-yx_4_4U6venR587KVBbrwftcG8lhc/s1600-h/Untitled-5.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjizpLocYlweNMiSIZIJyEFzgQobcWEeIsUV_z5N8o42ydR6E3EPukndCVk_Et2-chDT-QdpTVZDIeyD1PDvF2ZVKIN0JoufGrWpxZWBEdyhf49S-yx_4_4U6venR587KVBbrwftcG8lhc/s400/Untitled-5.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108543599899715106" /></a><br /><br /><br />เนื่องจากในการสื่อสารนั้นเราไม่สามารถส่ง "ความหมาย" (Meaning) ของข้อมูลไปยังผู้รับได้สิ่งที่ส่งไปเป็นเพียง "สัญลักษณ์" (symbol) ของความหมายนั้น เช่น คำพูด รูปภาพ ฯลฯ ดังนั้น เมื่อมีการสื่อสารเกิดขึ้น ผู้ส่งต้องพยายามเข้ารหัสสารซึ่งเป็น "สัญลักษณ์" ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้รับเข้าใจได้โดยง่ายซึ่งสารแต่ละสารจะประกอบด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย โดยที่สัญลักษณ์แต่ละตัวในสารนั้นจะเป็นตัวบ่งบอกถึง "สัญญาณ" (signal) ของบางสิ่งบางอย่างซึ่งจะทราบได้โดยประสบการณ์ของคนเรา ผู้ส่งต้องส่งสัญลักษณ์เป็นคำพูด ภาษาเขียน ภาษามือ ฯลฯ เพื่อถ่ายทอดความหมายของสารที่ต้องการจะส่ง โดยพยายามที่จะเชื่อมโยงเนื้อหาสารเข้ากับประสบการณ์ที่สอดคล้องกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ผู้รับสามารถแปลและเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นได้ง่ายในขอบข่ายประสบการณ์ของตน ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ส่งต้องการส่งสารของคำว่า "คอมพิวเตอร์" ให้ผู้รับที่ยังไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์มาก่อน ผู้ส่งต้องพยายามใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายด้วยคำพูด ภาพ หรือสัญลักษณ์อื่นใดก็ตามเพื่อให้ผู้รับสามารถเข้าใจและมีประสบการณ์ร่วมกับผู้ส่งได้มากที่สุดเพื่อเข้าใจความหมายของ "คอมพิวเตอร์" ตามที่ผู้ส่งต้องการ<br /><br />จากรูปแบบจำลองของการสื่อสารทั้ง 4 แบบนี้ อาจสรุปได้ว่า ในการสื่อสารนั้น การที่ผู้ส่งและผู้รับจะสามารถเข้าใจกันได้ดีเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทักษะ ทัศนคติ ความรู้ และระบบสังคมและวัฒน-ธรรมของทั้งสองฝ่าย ถ้าหากว่าทั้งผู้ส่งและผู้รับมีสิ่งต่าง ๆเหล่านี้สอดคล้องกัน มีประสบการณ์ร่วมกัน ก็จะทำให้การสื่อสารนั้นได้ผลดียิ่งขึ้น ต่างฝ่ายก็มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสามารถขจัดอุปสรรคในการสื่อสารระหว่างผู้ส่งและผู้รับออกไปได้<br /><br /><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/3.4.doc">........3.4 การสื่อสารกับกระบวนการเรียนการสอน </a></span><br /></span><span style="color:#3366ff;"><br /><br />รูปแบบกระบวนการสื่อสารของเบอร์โล เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เรียกว่าS.M.C.R.Process Model ได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้เป็นหลักการพื้นฐานของเทคโนโลยี การศึกษาได้เป็นอย่างดี<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBGntgALEJnMaBLk9Fd6oL4wnnqK0iNFueqG4etXUHvFpjrRNZmevRd50mZoO1jPEpCiNR9V2sndtvr6N7bpL4t380VpsF3Q7Ds9Kb70qruu6zUNHAfsUHFFySOzuW1hwXtMdJpv86a5Y/s1600-h/Untitled-7.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBGntgALEJnMaBLk9Fd6oL4wnnqK0iNFueqG4etXUHvFpjrRNZmevRd50mZoO1jPEpCiNR9V2sndtvr6N7bpL4t380VpsF3Q7Ds9Kb70qruu6zUNHAfsUHFFySOzuW1hwXtMdJpv86a5Y/s400/Untitled-7.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108545794628003378" /></a><br /><br /></span><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">หน่วยที่ 4 การออกแบบสื่อการเรียนการสอน<br /></span><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/4.1.doc">........4.1 ความหมายของการออกแบบสื่อการเรียนการสอน </a><br /><br />องค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนการสอนคือสิ่งที่ครูมักนำไปประกอบการเรียนการสอนนั่นก็คือ สื่อการสอนนั่นเอง สื่อการสอนนับว่ามีประโยชน์มากเพราะสื่อการสอนเปรียบเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจในเนื้อหาและได้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นมากกว่าที่ครูผู้สอนจะสอนโดยการมาบรรยายหรือสอนตามเนื้อหา โดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยสอนเลย <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJ04LHKXQjq4gV44RqbeIKQJhCcLH8tlWYozcBp5NbT51tHgpcWmtKXs7gkWmbPk9JSco6HIGe7tRIp29zgxoVVd4nkFBh6oDjqXlTKyKUDc-K0g2HLkK560IVX3MBuqdFyZ3SeQg6SME/s1600-h/Untitled-8.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJ04LHKXQjq4gV44RqbeIKQJhCcLH8tlWYozcBp5NbT51tHgpcWmtKXs7gkWmbPk9JSco6HIGe7tRIp29zgxoVVd4nkFBh6oDjqXlTKyKUDc-K0g2HLkK560IVX3MBuqdFyZ3SeQg6SME/s400/Untitled-8.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108546421693228610" /></a><br /><br /> สื่อการสอน คือ การนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการนำวัสดุ เครื่องมือและวิธีการมาประกอบในการถ่ายทอดความรู้และเนื้อหาไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ในสิ่งที่ครูได้ถ่ายทอด รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงตามเนื้อหา นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น และช่วยประหยัดเวลา <br /> หลักในการใช้สื่อ <br />ในการพิจารณาเลือกใช้สื่อการสอนแต่ละครั้งครูควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของสื่อการสอนแต่ละชนิด ดังนี้ <br /> 1. ความเหมาะสม สื่อที่จะใช้นั้นเหมาะสมกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการสอนหรือไม่ <br /> 2. ความถูกต้อง สื่อที่จะใช้ช่วยให้นักเรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องหรือไม่ <br /> 3. ความเข้าใจ สื่อที่จะใช้นั้นควรช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักเรียน <br /> 4. ประสบการณ์ที่ได้รับ สื่อที่ใช้นั้นช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่นักเรียน <br /> 5. เหมาะสมกับวัย ระดับความยากง่ายของเนื้อหาที่บรรจุอยู่ในสื่อชนิดนั้น ๆ เหมาะสมกับระดับความสามารถ ความสนใจ และความต้องการของนักเรียนหรือไม่ <br /> 6. เที่ยงตรงในเนื้อหา สื่อนั้นช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาที่ถูกต้องหรือไม่ <br /> 7. ใช้การได้ดี สื่อที่นำมาใช้ควรทำให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้ดี <br /> 8. คุ้มค่ากับราคา ผลที่ได้จะคุ้มค่ากับเวลา เงิน และการจัดเตรียมสื่อนั้นหรือไม่ <br /> 9. ตรงกับความต้องการ สื่อนั้นช่วยให้นักเรียนร่วมกิจกรรมตามที่ครูต้องการหรือไม่ <br /> 10. ช่วยเวลาความสนใจ สื่อนั้นช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในช่วงเวลานานพอสมควรหรือไม่ <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhs4W46O2BQw1VkTdydQDSL6c5iFUjoTONZA277Zj1VpZfHAaH_e0bFCdbLO45BFake7IcumHwDgwpp10U9UtPWiLEr6Ok6BJIWvLVgXxB-7eTw2bbt7taradGR3TC4Hp5JAnPxVFIUgz8/s1600-h/Untitled-9.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhs4W46O2BQw1VkTdydQDSL6c5iFUjoTONZA277Zj1VpZfHAaH_e0bFCdbLO45BFake7IcumHwDgwpp10U9UtPWiLEr6Ok6BJIWvLVgXxB-7eTw2bbt7taradGR3TC4Hp5JAnPxVFIUgz8/s400/Untitled-9.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108546919909434962" /></a><br /><br /> ประโยชน์ของสื่อ <br /> 1. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้จากวัตถุที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้สร้างแนวความคิดด้วยตนเอง <br /> 2. กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในเรื่องที่จะเรียนมากขึ้น <br /> 3. ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นและสามารถจดจำได้นาน <br /> 4. ให้ประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง <br /> 5. นำประสบการณ์นอกห้องเรียนมาให้นักเรียนศึกษาในห้องเรียนได้ <br /> แม้ว่าสื่อการสอนจะมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อการเรียนการสอน แต่ถ้าครูผู้สอนผลิตสื่อหรือนำสื่อไปใช้ไม่ตรงตามจุดประสงค์และเนื้อหา ก็อาจทำให้สื่อนั้นไม่มีประสิทธิภาพและยังทำให้การสอนนั้นไม่ได้ผลเต็มที่ ดังนั้นครูควรมีความรู้ความเข้าใจในการออกแบบสื่อและการผลิตสื่อด้วย เพื่อให้สื่อนั้นมีประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอน <br /> การออกแบบสื่อการสอน เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อสัมฤทธิผลของแผนการสอนที่วางไว้ ความน่าสนใจและความเข้าใจในบทเรียนเป็นผลมาจากประเภท ลักษณะ และความเหมาะสมของสื่อที่ใช้ <br /><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/4.2.doc">........4.2 วิธีระบบกับการออกแบบสื่อการเรียนการสอน </a><br />4.2 การออกแบบสื่อการสอน<br /> คือ การวางแผนสร้างสรรค์สื่อการสอนหรือการปรับปรุงสื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพและมีสภาพที่ดี โดยอาศัยหลักการทางศิลปะ รู้จักเลือกสื่อและวิธีการทำ เพื่อให้สื่อนั้นมีความสวยงาม มีประโยชน์และมีความเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน <br /> ลักษณะการออกแบบที่ดี (Characteristics of Good Design) <br /> 1.ควรเป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับความมุ่งหมายของการนำไปใช้ <br /> 2. ควรเป็นการออกแบบที่มีลักษณะง่ายต่อการทำความเข้าใจ การนำไปใช้งานและกระบวนการผลิต <br /> 3. ควรมีสัดส่วนที่ดีและเหมาะสมตามสภาพการใช้งานของสื่อ <br /> 4. ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของการใช้และการผลิตสื่อชนิดนั้น <br />ปัจจัยพื้นฐานของการออกแบบสื่อการสอน <br /> 1.เป้าหมายของการเรียนการสอน เป็นสิ่งที่กำหรดพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของผู้เรียนว่าจะมีลักษณะเช่นไร โดยทั่วไปนิยมกำหนดพฤติกรรมที่เป็นเป้าหมายของการเรียนการสอนไว้เป็น 3 ลักษณะ คือ <br /> 1.1 พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)เป็นพฤติกรรมที่แสดงว่าได้เกิดปัญญาความรู้ในเนื้อหาวิชานั้น ๆ แล้ว สามารถที่จะบอก อธิบาย วิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือแก้ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาความรู้นั้นได้ <br /> 1.2 พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย (Pyschomotor Domain) เป็นพฤติกรรมด้านทักษะของร่างกายในการเคลื่อนไหว ลงมือทำงาน หรือความว่องไวในการแก้ปัญหา <br /> 1.3 พฤติกรรมด้านเจตตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความรู้สึกด้านอารมณ์ที่มีต่อสิ่งที่เรียนรู้และสภาพแวดล้อม <br /> ในการเรียนการสอนครั้งหนึ่ง ๆ ย่อมประกอบด้วยพฤติกรรมที่เป็นเป้าหมายหลายประการด้วยกัน สื่อการสอนที่จะนำมาใช้ หากจะต้องสนองต่อทุกพฤติกรรมแล้ว ย่อมมีลักษณะสับสนหรือซับซ้อน ในการออกแบบสื่อการสอน จึงต้องพิจารณาเลือกเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นจุดเด่นของการเรียนการสอนนั้นมาเป็นพื้นฐานของการพิจารณาสื่อ <br /> 2. ลักษณะของผู้เรียน เนื้อหาและรายละเอรียนของื่อชนิดหนึ่ง ๆ ย่อมแปรตามอายุ และความรู้พื้นฐานของผู้เรียน แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว ผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน หากจะนำมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาสื่อย่อมทำไม่ได้ ในทางปฎิบัติจึงใช้ลักษณะของผู้เรียนในกลุ่มหลัก เป็นพื้นฐานของการพิจารณาสื่อก่อน หากจำเป็นจึงค่อยพิจารณาสื่อเฉพาะสำหรับผู้เรียนในกลุ่มพิเศษต่อไป <br /> 3. ลักษณะแวดล้อมของการผลิตสื่อ ได้แก่ <br /> ก. ลักษณะกิจกรรมการเรียน ซึ่งครูอาจจัดได้หลายรูปแบบ เช่น <br /> -การสอนกลุ่มใหญ่ ในลักษณะของการบรรยาย การสาธิต <br /> -การสอนกลุ่มเล็ก <br /> -การสอนเป็นรายบุคคล <br /> กิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละลักษณะย่อมต้องการสื่อต่างประเภท ต่างขนาด เช่น สื่อประเภทสไลด์ ภาพยนต์มีความเหมาะสมกับการเรียนในลักษณะกลุ่มใหญ่ วีดีโอ ภาพขนาดกลาง เหมาะกับการสอนกลุ่มเล็ก ส่วนสื่อสำหรับรายบุคคลจะต้องในลักษณะเฉพาะตัวที่จะเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ และวัดผลด้วยตนเอง <br /> ข. สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้สื่อ ได้แก่ไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบสำคัญการออกแบบสื่อสำหรับโรงเรียน หรือท้องถิ่นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ย่อมต้องหลีกเลี่ยงสื่อวัสดุฉาย <br /> ค. วัสดุพื้นบ้าน หรือวัสดุท้องถิ่น นากจากจะหาใช้ได้ง่ายแล้วยังจะช่วยให้ผู้เรียนได้มองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่เรียนรู้<br />กับสภาพจริงในชีวิตประจำวันได้ดีกว่าอีกด้วย ดังรั้นสื่อเพื่อการสอนบรรลุเป้าหมายเดียวกัน อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันตามสภาพของวัสดุพื้นบ้าน <br /> 4. ลักษณะของสื่อ ในการออกแบบและผลิตสื่อ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ผลิตต้องมีความรู้เกี่ยวกับสื่อในเรื่องต่อไปนี้ <br /> ก. ลักษณะเฉพาะตัวของสื่อ สื่อบางชนิดมีความเหมาะสมกับผู้เรียนบางระดับ หรือเหมาะกับจำนวนผู้เรียนที่แตกต่างกัน เช่น แผนภาพจะใช้กับผู้เรียนที่มีพื้นฐานหรือประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ มาก่อน ภาพการ์ตูนเหมาะสมกับเด็กประถมศึกษา ภาพยนต์เหมาะกับผู้เรียนที่เป็นกลุ่มใหญ่ วิทยุเหมาะกับการสอนมวลชน ฯลฯ <br /> ข. ขนาดมาตรฐานของสื่อ แม้ว่ายังไม่มีการกำหนดเป็นตัวเลขที่แน่นอน แต่ก็ถือเอาขนาดขั้นต่ำที่สามารถจะมองเห็นได้ชัดเจน และทั่วถึงเป็นเกณฑ์ในการผลิตสื่อ <br /> ส่วนสื่อวัสดุฉายจะต้องได้รับการเตรียมต้นฉบับให้พอดีที่จะไม่เกิดปัญหาในขณะถ่ายทำหรือมองเห็นรายละเอียดภายในชัดเจน เมื่อถ่ายทำขึ้นเป็นสื่อแล้ว การกำหนดขนาดของต้นฉบับให้ถูกหลัก 3 ประการ ต่อไปนี้ คือ <br /> -การวาดภาพและการเขียนตัวหนังสือได้สะดวก <br /> -การเก็บรักษาต้นฉบับทำได้สะดวก <br /> -สัดส่วนของความกว้างยาวเป็นไปตามชนิดของวัสดุฉาย <br /> องค์ประกอบของการออกแบบ <br /> 1. จุด ( Dots ) <br /> 2. เส้น ( Line ) <br /> 3. รูปร่าง รูปทรง ( Shape- Form ) <br /> 4. ปริมาตร ( Volume ) <br /> 5. ลักษณะพื้นผิว ( Texture ) <br /> 6.บริเวณว่าง ( Space ) <br /> 7. สี ( Color ) <br /> 8. น้ำหนักสื่อ ( Value ) <br /> การเลือกสื่อ การดัดแปลง และการออกแบบสื่อ (Select , Modify , or Design Materials ) <br />การเลือกสื่อที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาตามหลัก 3 ประการ คือ <br /> 1. การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ในสถาบันการศึกษามักจะมีทรัพยากรที่สามารถใช้เป็นสื่อได้อยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่ผู้สอนต้องกระทำก็คือ ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดที่จะใช้เป็นสื่อได้บ้าง โดยเลือกให้ตรงกับลักษณะผู้เรียนและวัตถุประสงค์ <br /> 2. การดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว ให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ย่อมขึ้นกับเวลาและงบประมาณในการดัดแปลงสื่อด้วย <br /> 3. การออกแบบผลิตสื่อใหม่ ถ้าสื่อนั้นมีอยู่แล้วและตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการ สอน เราก็สามารถนำมาใช้ได้เลยแต่ถ้ามีอยู่โดยไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายเราก็ใช้วิธีดัดแปลงได้ แต่ถ้าไม่มีสื่อตามที่ต้องการก็ต้องผลิตสื่อใหม่ <br /> การออกแบบผลิตสื่อใหม่ ควรคำนึงถึง <br /> 1. จุดมุ่งหมาย ต้องพิจารณาว่าต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนอะไร <br /> 2. ผู้เรียน ควรได้พิจารณาผู้เรียนทั้งโดยรวมว่าเป็นใคร มีความรู้พื้นฐานและทักษะอะไรมาก่อน <br /> 3. ค่าใช้จ่าย มีงบประมาณเพียงพอหรือไม่ <br /> 4. ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค ถ้าตนเองไม่มีทักษะจะหาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาจากแหล่งใด <br /> 5. เครื่องมืออุปกรณ์ มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นพอเพียงต่อการผลิตหรือไม่ <br /> 6. สิ่งอำนวยความสะดวก มีอยู่แล้วหรือสามารถจะจัดหาอย่างไร <br /> 7. เวลา มีเวลาพอสำหรับการออกแบบหรือไม่ <br /> การวัดผลของสื่อและวิธีการ <br /> หลังจากที่เราออกแบบสื่อแล้วแล้วนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน ก็ควรมีการวัดผลของสื่อ เป็นการวัดประสิทธิภาพของสื่อ ความคุ้มค่าของสื่อต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ วัดเพื่อปรับปรุงสื่อวัดผลถึงระยะเวลาที่ในการนำเสนอสื่อว่าพอเหมาะหรือมากเกินความจำเป็น การวัดผลสื่อนี้เพื่อผลในการใช้ดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการนำไปใช้ในอนาคตเราสามารถที่จะนำเอาผลการอภิปรายในชั้นเรียน การสัมภาษณ์ และการสังเกตผู้เรียนมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสื่อได้<br /><br /><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/4.3.doc">........4.3 การสร้างแบบจำลองการออกแบบสื่อการเรียนการสอน </a></span><br /></span><span style="color:#3366ff;"><br />4.3 วิธีระบบกับการออกแบบสื่อการเรียนการสอน<br />เป็นวิธีการนำเอาผลที่ได้ ซึ่งเรียกกันว่า ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back) จากผลผลิตหรือการประเมินผล มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไข่ ระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การพิจารณาแก้ไขนั้นอาจจะแก้ไขสิ่งที่ป้อนเข้าไปหรือที่ขบวนการก็แล้วแต่เหตุผลที่คิดว่าถูกต้อง แต่ถ้าปรับปรุงแล้วอาจจะได้ผลออกมาไม่เป็นที่พอใจอีกก็ต้องนำผลนั้นมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ ต่อเนื่องกันไป จนเป็นที่พอใจ ฉะนั้นจะเห็นว่าวิธีระบบเป็นขยายการต่อเนื่องและมีลักษณะเช่นเดียวกันวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งของการวิเคราะห์ระบบ ก็คือ บุคคลที่จะทำการวิเคราะห์ระบบนั้น ควรจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบมาพิจารณาร่วมกัน<br />ระบบการการเรียนการสอน<br />ระบบการสอนประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญๆ คือ<br />1. เนื้อหาหรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม จะต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน<br />2. พิจารณาพฤติกรรมพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้เรียน คือ ต้องทราบพื้นฐาน ความรู้เดิมของผู้เรียน ก่อนที่จะสอนเนื้อหาต่อไป เพื่อจะได้จัดเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียน<br />3. ขั้นตอนการสอน วิธีการสอน และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ได้ดี<br />4. การประเมินผล เพื่อตรวจสอบการดำเนินการเรียนการสอน<br />5. วิเคราะห์ผลและปรับปรุงข้อบกพร่องของระบบการเรียนการสอน<br /><br /></span><span style="color:#3366ff;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">หน่วยที่ 5 การผลิตสื่อกราฟิก</span><br /></span></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3366ff;"><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/5.1.doc">........5.1 ความหมาย และคุณค่าของสื่อกราฟิก</a><br /><br />ประวัติความเป็นมา <br />งานกราฟิก มีประวัติความเป็นมาตามหลักฐานในอดีต เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการขีดเขียน ขูด จารึกเป็นร่องรอย ให้ปรากฏเป็นหลักฐานในปัจจุบัน การออกแบบกราฟิกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จึงเป็นการเริ่มต้นการสื่อความหมายด้วยการวาดเขียน ให้ผู้อ่านตีความหมายได้ เรียกว่า Pictogram เช่นภาพคน ภาพสัตว์ ต้นไม้ ไว้บนผนังหรือบนเพดานถ้ำ และมีการแกะสลักลงบนเขาสัตว์ กระดูกสัตว์ ซึ่งใช้วิธีการวาดอย่างง่ายๆไม่มีรายละเอียดมาก <br />ต่อมาประมาณ 9000 ปี ก่อนคริสต์กาล ชาว Sumerien ในแคว้นเมโสโปเตเมีย ได้เริ่มเขียนตัวอักษรรูปลิ่ม (Cuneiform) และตัวอักษร Hieroglyphic ของชาวอียิปต์ งานกราฟิกเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น เมื่อได้คิดค้นกระดาษและวิธีการพิมพ์ ปี ค.ศ.1440 Johann Gutenberg ชาวเยอรมัน ได้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบตัวเรียง ที่สามารถพิมพ์ได้หลายครั้ง ครั้งละจำนวนมากๆ <br />ในปี ค.ศ.1950 การออกแบบได้ชื่อว่าเป็น Typographical Style เป็นการพัฒนาโดยนักออกแบบชาวสวิส ได้นำวิธีการจัดวางตัวอักษรข้อความและภาพเป็นคอลัมภ์ มีการใช้ตารางช่วยให้อ่านง่ายมีความเป็นระเบียบ สวยงาม มีการจัดแถวของข้อความแบบชิดขอบด้านหน้าและด้านหลังตรงเสมอกัน <br />ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา การออกแบบกราฟิก ได้พัฒนาและขยายขอบเขตงานออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดอยู่แต่ในสิ่งพิมพ์เท่านั้น โดยได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการสื่อสารอื่นๆเช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ การถ่ายภาพ โปสเตอร์ การโฆษณา ฯลฯ <br />การออกแบบกราฟิกปัจจุบัน เป็นยุคของอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้นำเครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุอุปกรณ์ วัสดุสำเร็จรูป มาช่วยในการออกแบบกราฟิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ ( Computer Graphics ) มีโปรแกรมด้านการจัดพิมพ์ตัวอักษรที่นิยมกันมากคือ Microsoft Word สามารถจัดเรียง วางรูปแบบ สร้างภาพ กราฟ แผนภูมิ จัดการและสร้างสรรค์ตัวอักษร โปรแกรมอื่นๆที่สนับสนุนงานกราฟิกอีกมากมาย เช่น Adobe Photoshop / Illustrator / PageMaker / CorelDraw / 3D Studio / LightWave 3D / AutoCad ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมที่ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์งานกราฟิกบนเว็บ อีกมากเช่น Ulead Cool / Animagic GIF / Banner Maker เป็นต้น <br />ปัจจุบันงานคอมพิวเตอร์กราฟิก จึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบ การออกแบบและสร้างสรรค์งานกราฟิกอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ความสะดวก รวดเร็ว แก้ไขงาน ทำซ้ำงานทำได้ง่าย ตลอดจนการสั่งพิมพ์ หรือบันทึกเพื่อการพกพาในรูปแบบอื่นๆได้หลายวิธี <br /><br />ความหมาย <br />" กราฟิก " ( Graphic ) เป็นคำมาจากภาษากรีกว่า Graphikos หมายถึงการเขียนภาพด้วยสีและเขียนภาพขาวดำ และคำว่า " Graphein " มีความหมายทั้งการเขียนด้วยตัวหนังสือและการสื่อความหมายโดยการใช้เส้น เมื่อรวมทั้งคำ Graphikos และ Graphein เข้าด้วยกันวัสดุกราฟิกจะหมายถึงวัสดุใด ๆ ซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด ภาพเขียน และอักษรข้อความรวมกัน ภาพวาดอาจจะเป็น แผนภาพ ( Diagram ) ภาพสเก็ต ( Sketch ) หรือแผนสถิติ ( Graph ) หรืออาจเป็นคำที่ใช้เป็นหัวเรื่อง ( Title ) คำอธิบายเพิ่มเติมของแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ และภาพโฆษณา อาจวาดเป็นการ์ตูนในรูปแบบหรือประเภทต่างๆ ภาพสเก็ต สัญลักษณ์ และภาพถ่าย สามารถใช้เป็นวัสดุกราฟิกเพื่อสื่อความหมายในเรื่องราวที่แสดงข้อเท็จจริงต่าง ๆได้ <br />วัสดุกราฟิกทางการศึกษา เป็นสื่อการสอนที่สื่อถึงเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้เส้น ภาพวาดและสัญลักษณ์ ที่ใกล้เคียงความเป็นจริง แทนคำพูดซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของแผนที่ แผนภาพ ภาพโฆษณา การ์ตูน และแผนสถิติ ฯลฯ <br /><br /><br />ประโยชน์ของวัสดุกราฟิก <br /><br />วัสดุกราฟิกต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังต่อไปนี้ <br /><br />1. ใช้เป็นสื่อประกอบการสอนได้ทุกวิชา โดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและระดับของผู้เรียน <br />2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสิ่งนั้น ๆ ได้รวดเร็วกว่าใช้คำพูด ทำให้ประหยัดเวลาในการสอน 3. ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มีส่วนร่วมและอยากเรียน <br />4. ใช้ในการโน้มน้าวจิตใจในเรื่องต่าง ๆ เช่น ภาพโฆษณา การโฆษณาสินค้า <br />5. ใช้ในการจัดแสดงผลงาน หรือจัดนิทรรศการ<br /> 6. ใช้ในด้านเผยแพร่กิจกรรม การประชาสัมพันธ์ของทุกหน่วยงาน <br />7. ใช้ในการสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลงเจตคติ และสร้างความเข้าใจอันดีภายในและภายนอกองค์กร <br /><br />การจำแนกประเภทของสื่อวัสดุกราฟิก <br />ในปัจจุบัน หนังสือพิมพ์ วารสาร เอกสาร ตำรา ในการเรียนการสอน ตลอดจนสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ นิยมใช้สัญลักษณ์ทางกราฟิก( Graphic Symbols ) มาประกอบ เพราะสัญลักษณ์เหล่านี้สามารถทำให้ผู้อ่านหรือผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดเจน รวดเร็ว และยังมีความสวยงามน่าสนใจ เช่นเครื่องหมายธนาคาร จะติดไว้สูงๆบนหลังคามองเห็นได้ในระยะไกล <br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/5.2.doc">........5.2 การใช้สีกับสื่อการเรียนการสอน</a><br /><br />การใช้สีกับสื่อการเรียนการสอน<br /><br /> จุดประสงค์ของการเรียนรู้<br />1.เพื่อให้รู้ถึงความหมายของสีและการใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ <br />2.เพื่อให้รู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของการใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ <br />3.เพื่ีอให้รู้ถึงแนวทางในการเลือกใช้ในการสร้างสรรค์งานสื่อสิ่งพิมพ์ <br />4.เพื่อให้รู้ถึงหลักการพิจารณาในการเลือกใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์<br /><br /> สีและการใช้สี<br /> ความเข้าใจในเรื่องของสีเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์มีความสดใสสวยงาม น่าสนใจ <br />และมีบทบาทในการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง เหมาะและมีคูณภาพอีกด้วย ดั้งนั้น การเลือกใช้สีควรจะได้ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อที่จะได้นำสีไปใช้ประกอบในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อให้งานนั้นสามารรถตอบสนองได้ตรงตามจุดประสงค์มากที่สุดซึ่งแต่ละสีให้ความสรู้สึกลารมณ์แก<br />่ผู้ดูต่างๆ กันออก ไป เช่น <br /><br /> สี ขาว ทำให้เกิดความรู้สึกบริสุทธิ์ สะอาด ใหม่ สดใส<br /> สี แดง ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ <br /> สี ม่วง ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า ลึกลับ<br /> สี น้ำเงิน ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ เงียบขรึม<br /> สี เหลือง ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นรื่นเริง<br /> สี ชมพู ทำให้เกิดความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนโยน<br /> สี ส้มแดง (แสด) ทำให้เกิดความรู้ร้อนแรง<br /> สี ดำ หรือ ดำกับขาว ทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ใจ<br /> สี เทาปนเขียว ทำให้เกิดความรู้สึกแก่ชรา<br /> สี เขียวปนเหลือง ทำให้เกิดความรู้สึกหนุ่มหรือสาวขึ้น <br /><br /><br />นอกจากอารมณ์และความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดความชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับสีของ<br />คนแต่ต่างกันไปตามสภาพสังคม วัฒนธรรมของแต่ละสังคมอีกด้วยดังนั้นสีจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง<br />กับชีวิตประวันของคนอย่างมากมายโดยที่เราไม่ได้นึกถึง การได้ทำความเข้าใจว่าสีคืออะไร <br /> ทฤษฎีของสี<br />อารมณ์และความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับสังคมแต่ละคน<br />แต่ละคนแต่ละกลุ่มเป้าหมายมีส่วนที่ชักจูงให้เกิดความรู้สึกสนใจ และเข้าใจถึงคุณค่าของภาพ<br />เหล่านั้นสามารถตอบสนองแรงกระตุ่นได้ตามวัตถุประสงค์ซึ่งเป็น<br />เป้าหมายที่สำคัญของงานออกแบบมีทฤษฎีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องของสีที่จะเกิดให้ความกระจ่าง <br />ในเรื่องของความหมาย ได้เป็นอย่างดี และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายมีอยู่ 4 ทฤษฎีด้วยกัน คือ<br /><br /> 1. ทฤษฎสีตามหลักการทางฟิสิก์ ในหลักการของทฤษฎี นี้จะอธิบายความหมายของสีที่ได้จากการมอง<br />เห็นโดยจะมีเรื่องของแสงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สีในทฤษฎีตามหลักการทางฟิสิกส์ หมายถึง ส่วนประกอบ<br />ของเปกตรัม ซึ่งแม่สีจะประกอบด้วยสี 2 สี ได้แก่ สีเขียว และสีนำ้เงินถ้าเอาแม่สีแสงทั้ง 3 มาผสมกันจะ<br />ทำให้ได้สีใหม่เกิดขึ้นอีก 3 สี ดังตารางที่1<br /><br /> <br /><br /><br /> ตารางที่ 1<br />สี สีที่ได้<br /><br />สีแดง + สีน้ำเงิน สีชมพู<br />สีเขียว + สีแดง สีฟ้า<br />สีแดง + สีเขียว +สีน้ำเงิน สีเหลือง<br /><br /> 2. ทฤษฎีของสีตามหลักการทางเคมี ในหลักการของทฤษฎีนี้ จะอธิบ่ายความหมายของสีตามคุณสมบัติ<br /> ทางเคมีสีที่ปรากฏ คือ คือเป็นส่วนผสมที่ย้อมขึ้นหรือเป็นเนื้อแท้ของสีซึ่ง กำหนดแม่สีไว้เป็น 3 สี คือ สีแดง<br />สีเหลือง และสีน้ำเงิน ถ้าเอาเนื้อสีทั้งสามารถผสมกันก็จะได้สีใหม่ขึ้นมาอีก 3 สีดังตารางที่ 2<br /> <br /> ตารางที่ 2<br />สีที่ผสม สีที่ได้ <br /><br />สีแดง + สีเหลือง สีส้ม<br />สีเหลือง + สีน้ำเงิน สีเขียว<br />สีน้ำเงิน + สีแดง สีม่วง<br /><br />3.ทฤษฎีของสีตามหลักการของมันเซลล์ มันเซลล์เป็นศิลปินชาวอเมริกากัน ได้กำหนดแม่สีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน<br />ไว้เป็น 5 สีด้วย คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีม่วง ซึ่งเมื่อนำแม่สีทั้งหมด 5 สี มาทำการผสมกันระหว่างสีต่างๆ เข้าด้วยกันจะได้สีใหม่อีก 5 สี ดังตาราง ที่ 3<br /><br /> ตารางที่ 3<br />สีที่ผสม สีที่ได้ <br /><br />สีแดง + สีเหลือง สีเหลืองแก่<br />สีเขียว + สีน้ำเงิน สีเหลืองเขียว<br />สีเขียว + สีน้ำเงิน สีเขียวน้ำเงิน<br />สีน้ำเงิน + สีม่วง สีม่วงน้ำเงิน<br />สีม่วง + สีแดง สีม่วงแสด <br /><br />4. ทฤษฎีของสีตามหลักจิตวิทยา ทฤษฎีนี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นหรือสิ่งเร้า และตามาหลักและตามหลักการของทฤษฎีนี้ จะอธิบายถึงคุณสมบัติของสีตามสิ่งเร้าประเภทต่างๆ ที่มองเห็น แม่สีจะถูก<br />แบ่งออกเป็น 4 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเหลือง สีเขี้ยว สีน้ำเงิน และสีแดง ซึ่งถ้านำแม่สีทั้ง 4 มาผสมกันก็จะได้สีใหม่ 4 สีดังตารางที่4<br /> <br /> ตารางที่ 4 <br />สีที่ผสม สีที่ได้ <br /><br />สีเหลือง + สีเขียว สีเขียวเหลือง<br />สีเขียว + สีน้ำเงิน สีเขียวน้ำเงิน<br />สีน้ำเงิน + สีแดง สีม่วง<br />สีแดง + สีเหลือง สีส้ม <br /><br />จากทฤษฎีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะบอกถึงความเป็นมาเป็นไปของแต่ละสี แต่สำหรับในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว สีที่ใช้จะเกี่ยวข้องกับสีในทฤษฎีของสีตามหลักการทางเคมีเพื่อนำมาใช้สร้างสรรค์งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ให้<br />มีคุณค่าและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยมรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของสีเพิ่มเติมและแยกเป็นขั้นๆดังนี้<br /> <br /> <br /> ขั้นที่ 1 (แม่สี)<br /> เป็นสีที่มีความเข็มมากที่สุด สามารถนำไปผสมเพื่อให้เกิดสีต่าง ๆ ได้อีกมากมายหลายสี แม่สีมี 3 สี สี <br />แดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน<br /><br /> ขั้นที่ 2 <br /> เป็นสีที่เกิดจากการนำเอาแม่สีมาผสมกันที่ละคู่โดยใช้อัตราส่วนของแต่ละสีเทา ๆ กัน ซึ่งนำจะทำให้เกิดขึ้นมา<br />อีก 3 สี คือ สีส้ม สีเขียว และสีม่วงดังแสดงในตารางที่ 5<br /><br /> ตารางที่5<br />สีที่ผสม สีทีได้ <br /><br />สีแดง + สีเหลือง สีส้ม<br />สีเหลือ + สีน้ำเงิน สีเขียว <br />สีน้ำเงิน + สีแดง สีส้ม สีม่วง<br /><br />สีขั้นที่ 3<br /> เป็นสีทีได้จากการนำสีทีเกิดขึ้นใหม่ในขั้นที่ 2 มาทำการผสมกับแม่สีทั้งสามที่ละคู่โดยมีอัตราส่วนเท่าๆ กัน จะทำให้ได้สีใหม่อีก 6 สีด้วยกัน คือ สีม่วงแดง สีส้มแดง สีเหลืองส้ม สีเขียวเหลือง สีน้ำเงินเขียว และ <br />สีน้ำเนม่วง <br /> ตารางที่ 6<br />สีที่ผสม สีที่ได้ <br /><br />สีแดง + สีม่วง สีม่วงแดง<br />สีแดง + ส้ม สีส้มแดง<br />สีเหลือง + สีเขียว สีเหลืองส้ม<br />สีเหลือง + สีเขียว สีเขียวเหลือง<br />น้ำเงิน + เขียว สีน้ำเงินเขียว<br />สีน้ำเน + ม่วง สีม่วงแดง สีน้ำเงินม่วง<br /><br /><br /> จากการนำสีมาสมกันในชั้นที 1 ขั้นที่2และขั้นที่ซึ่งในแต่ละขั้นจะเกหดสีใหม่ขึ้นมาบางทีเราก็เรียกว่า วงล้อสีธรรมชาติ<br /><br /> <br /> โทนของสี<br /> โทนสีหรือวรรณะของสี หมายถึง กลุ่มสีที่ปรากฏให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน สังเกตได้จากวงล้อสีธรรมชาติจะมีอู่ 2 โทน หรือ 2 วรรณะ คือ<br /><br /> 1. โทนสีร้อน ลักษณะของสีจะให้ความสดใส ร้อนแรง ฉูดฉาดหรือรื่นเริง สีในกลุ่มนี้ ได้แก่ สีเหลือง สีแกง สีส้ม และสีไกล้เคลีย<br /><br /> 2. โทนสีเย็นความรู้สกที่ปรากฏในภาพจะแสดงความสงเยือกเย็นจนถึงซึมเศร้า ได้แก่ สีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียวและสีทีใกล้เคียง<br /> จิตวิทยาในการเลือกใช้สี <br /> สีถึงแม้จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการนำไปใช้งาน แต่ลักษณะเฉพาะหรือคุณค่าเฉพาะของสีแต่ละสีย่อมจะเป็นตัวแทนของอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ในวัตถุที่มีสีปรากฏขึ้นในตัว เมื่อสายตาได้พบเห็นวัตถุที่แตกต่าง หลากหลายสีในวัตถุ ย่อมเกิดความรู้สึกต่าง ๆ ได้แก่ อ่อนหวาน อบอุ่นหรือหนาวเย็น นุ่มนวลหรือแข็งกระด้าง และตื่นเต้น เป็นต้น <br /> สีแดง เป็นสีของไฟ ความปรารถนา ความรู้สึกทางอารมณ์ การปฏิบัติ ความอ่อนเยาว์ ดังนั้น จึงเป็นที่ชอบมากสำหรับเด็กเล็กๆ สีแดงจึงเป็นสีที่มีพลังอย่างมากมายสามารถบังสีอื่น ๆ ได้ จึงไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นสีของฉาดหลังหรือแบล็กกราวด์หรือสีพื้น เป็นต้น<br /> สีเหลืองสีเขียว และสีม่วง ทุกระดับหรือเชดสีมีค่าที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสีที่มาผสม สีดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกในทางบวกการแสดงออกเต็มไปด้วยความรู้สึก ฉลาดและมั่นใจ หรือให้ความรู้ในทางลบและเก็บกดก็เป็นได้<br />ดังนั้นเมื่อนำสีแดงมาผสมกับสีขาวจะได้สีชมพูซึงเป็นการลดพลังของสีเหลือง ผลลัพธ์ คือสีน้ำตาล ซึ่งมีความเข็มที่แตกต่างกันออกกไป แต่ไม่ว่าสีน้ำตาลที่ได้ จะมีความเข็มมากน้อยเพียงใด สีประเภทนี้ก็จะให้ความรู้สึกเกี่ยวกับพื้นดิน ความแข็งแรง ความเป็นจริง ความอบอุ่น และความมั่นคง<br /> ส่วนสีเหลือง เป็นสีที่มีพลัง ในด้านความสว่างเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเย็นมากกว่า สีเหลืองอมส้ม แต่ให้ความอบอุ่นกว่าสีเหลืองอมเขียว นอกจากนี้สีเหลืองยังเป็นสีที่สะท้อนถึงสติปัญญามากกว่าจิตใจ<br /> สีน้ำเงิน เป็นสีที่ให้อารมณ์ความรู้สึกในลักษณะเก็บกด เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวและช่างฝันถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้ความจืดจ่างลงได้โดยการผสมสีขาวเข้าไปก็ตาม แต่สีน้ำเงินก็ยังคงให้ความประทับใจเกี่ยวกับความสะอาด บริสุทธิ์จึงมักใช้เป็นสีแทนสัญลักษณ์ทาบงด้านสุขอนามัย<br /> สีม่วง เป็นสีที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกลึกลับ ความเก่าแก่โบราณการทำสมาธิ เวทย์คาถาและความรู้สึกใคร่ครวญ <br /> สีทอง มีโทนสีคล้าย หรือใกล้สีส้มและนับว่าเป็นสีที่อุ่นอีกสีหนึ่ง ในขณะสีน้ำ้เงินถูกจัดให้เป็นสีเย็น สีทองเป็นสี<br />ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกไปในทางบวก และสร้างสรรค์<br /> สีเทา เป็นสีที่มีความเข็มจางแตกต่างกันหลายระดับ อาจจะคุ้นเคยกันดีจากการดูภาพขาวดำ การอ่านหนังสือทั่วไป<br />และการอ่านหนังสื่อพิมพ์<br /> สีดำ เป็นสีที่ใช้แทนสัญลักษณ์ของความมืน ความสว่าง โดยเฉพาะในการทำสื่อสิ่งพิมพ์สีดำจะมีค่าในทางบวก เนื่องจากเมื่อเราใช้สีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือตัวอักษรวางลงไป ก็จะทำให้สีเหล่านั้นเด่นเจิดจ้าสะดุตาขึ้น<br /> สีขาว เป็นสีที่ไม่อยู่ในโทนสีอุ่นและสีเย็น ยกเว้น เมื่ออยู่กับสีเหลืองซึ่งสีขาวจะช่วยขับให้สีเหลืองเด่นสะดุดตา<br />ขึ้นทำให้สามารถวางภาพหรืออักษรสีใด ๆ ลงบนพื้นที่สีขาวได้ผลดีเช่นเดียวกับสีดำ<br /><br /><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/5.4.doc">........5.3 การเขียนภาพการ์ตูน<br /></a></span><span style="color:#3366ff;"><br /> <br />การเขียนภาพการ์ตูน<br />สำหรับเด็กนั้นโดยมากมักนิยมเขียนภาพสัตว์ด้วยฝีมือมายา คือจงใจให้ผิดเพี้ยนไปจากของจริงมากมายเกินกว่าปกติ ดูเสมือนว่าเขียนออกมาอย่างหยาบๆ ง่ายๆ แต่ช่างเขียนนั้นเขียนขึ้นโดยความยากลำบากทั้งนั้นทุกรูป แต่เขาจงใจให้มองดูเขียนขึ้นอย่างลวกๆ การให้สีหนังสือเดกมักใช้สีฉูดฉาดบาดตา ภาพการ์ตูนสำหรับเด็กอีกระดับหนึ่ง หมายถึงระดับเด็กอายุ ๑๑ - ๑๖ ปี ระยะนี้การ์ตูนประกอบเรื่องจะต้องมีความปราณีต ขบขัน สวยงาม ตลอดจนกระทั่งฝีมือในการเขียนภาพประกอบจะต้องดีพอ จึงจะสามารถดึงดูดเด็กในวัยนี้ให้สนใจได้ สีสันของภาพประกอบต้องนุ่มนวลมากขึ้น เพราะเด็กนักเรียนวัยนี้เป็นวัยที่รู้ความใสวยงามของธรรมชาติและสัตว์ได้เป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็ก ๑๑ - ๑๖ ขวบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่างจะต้องระดมความเพียรในการเขียนภาพประกอบหนังสือให้เขาด้วยความรู้สึกนึกคิดที่สุขุมรอบคอบอย่างยิ่งเป็นพิเศษ เด็กระยะนี้กำลังจะถึงระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่ ฉะนั้นการเขียนภาพการ์ตูนประกอบเรื่องใหก้คนรุ่นนี้ดูตามความรู้สึกของผมแล้ว มีความรู้สึกว่ายากลำบากยิ่งกว่าการเขียนภาพการ์ตูนให้ผู้ใหญ่อ่านเสียอีก เด็กระยะนี้เป็นผู้ช่างคิดช่างค้น มีสมองที่กำลังเจริญอย่างรุนแรง ฉะนั้นการที่จะเขียนภาพให้เขาดูจึงต้องการความสุขุม รอบคอบและมากด้วยความเพียรอย่างยิ่ง ฉะนั้น การที่จะเขียนภาพให้เขาดูจึงต้องการความสุขุมรอบคอบ และมากด้วยความเพียรอย่างยิ่ง ผู้เขียนเอาตัวของตัวเองเป็นที่สังเกตว่า ระยะที่อายุอยู่ในวัยนี้เป็นวัยที่กำลังดูดซึมสิ่งแวดล้อมอย่างกระหาย ฉะนั้นหากได้พบภาพเขียนหรือบทประพันธ์ บทกลอนใดๆ ในระยะนั้นที่ประทับใจ แล้ว ความฝังใจจะเกิดขึ้นทันที และจะประทับใจอยู่กับตัวชั่วชีวิต ทั้งในประสบการณ์ด้านดีและด้านร้าย ฉะนั้นการ์ตูนให้เด็กวัย ๑๑ - ๑๖ ขวบ อ่านนี้ จากประสบการณ์ด้วยตนเอง จึงเตือนตนอยู่เสมอมิได้ลืมว่าทั้งก่อประโยชน์มหาศาลให้แก่เด็กและอาจในทางตรงกันข้ามก็ได้"<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrA8nhk3BcasmeF2dcDUiHGMghvNW2eQ-wzV3kmCK1a7a9ULi2C4D50wZm18O5urq7_pZyMrBdMU13e2Lr7rxQPVJ89EKdrPDGfFj-UIB_1FG9R_uN81PVJvV1nndj50pZAXwWIOZLAZs/s1600-h/SSL10681.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrA8nhk3BcasmeF2dcDUiHGMghvNW2eQ-wzV3kmCK1a7a9ULi2C4D50wZm18O5urq7_pZyMrBdMU13e2Lr7rxQPVJ89EKdrPDGfFj-UIB_1FG9R_uN81PVJvV1nndj50pZAXwWIOZLAZs/s400/SSL10681.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108562884302874242" /></a><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPm8u2izAFtqp9dNctifFG5Un5GsfiuLoPkATQJSwqPtI9lMdQjSlysLi_2ywnkdXqaZekDCntYniW9fJwhLPNjXCp1HTzCgHPxhkzZM6k875x1E6gCF-imUAh0gBjLUn2Yyh0iyYzA8M/s1600-h/SSL10680.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPm8u2izAFtqp9dNctifFG5Un5GsfiuLoPkATQJSwqPtI9lMdQjSlysLi_2ywnkdXqaZekDCntYniW9fJwhLPNjXCp1HTzCgHPxhkzZM6k875x1E6gCF-imUAh0gBjLUn2Yyh0iyYzA8M/s400/SSL10680.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108559693142173298" /></a><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7gBvCiI2DuSt2-FKcPmMFRpqWbkOQfJK0xIUuw-gU7khfcR65-GgvVWH4LZZHJ3FGYFxHFTgvT_En8WWdxzn3fhkXywUW6bjBUDlCpfn8joowqe2E4MaQl_4eOqjR5Uu1eMYfL1-7woM/s1600-h/SSL10682.JPG"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7gBvCiI2DuSt2-FKcPmMFRpqWbkOQfJK0xIUuw-gU7khfcR65-GgvVWH4LZZHJ3FGYFxHFTgvT_En8WWdxzn3fhkXywUW6bjBUDlCpfn8joowqe2E4MaQl_4eOqjR5Uu1eMYfL1-7woM/s400/SSL10682.JPG" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108564907232470674" /></a><br /><br /><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/5.4.doc">........5.4 การออกแบบตัวอักษรหัวเรื่อง </a></span></span><br /></span><span style="color:#3366ff;"><br /><br />ประวัติความเป็นมาของตัวอักษร<br /> ตัวอักษรมนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ตัวอักษรสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อทางการติดต่อ ตัวอักษรสมัยโบราณส่วนมากจะวิวัฒนาการมาจากภาพ เช่น อักษรของอียิปต์ ชื่อว่าอักษรไฮเออโรกลิฟิค (Hieroglyphic) ประมาณ 6,000 ปีล่วงมาแล้ว ยังมีอักษรที่เรียกว่า “อักษรลิ่ม” (Cuneiform) ของชาวซูเมอร์เรียน ซึ่งมีความเก่าแก่เท่า ๆ กันกับอักษรของอียิปต์โบราณ ระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ในทวีปเอเซีย ประเทศจีน และอินเดีย ก็ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้<br /> ตัวอักษรที่เป็นสากลส่วนมากใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ต้นตระกูลของอักษรภาษาอังกฤษ คือ อักษรโฟนิเซีย ซึ่งแพร่หลายอย่างกว้างขวางในยุโรป ประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์กาล ชาวกรีกได้นำไปใช้เป็นหลักการเขียนตัวอักษร แล้วนำไปสู่พวกโรมันแก้ไขปรับปรุงจนกลายเป็นอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน<br /> การประดิษฐ์ตัวอักษรของไทย เริ่มในสมัยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 1826 โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงดัดแปลงมาจากอักษรของขอมและอักษรมอญโบราณ นำมาประดิษฐ์ใหม่เป็นตัวอักษรของชาติไทย ระยะแรกพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ เรียงแถวกันในบรรทัดเดียวกัน ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม ซึ่งบางตัวอยู่ข้างล่าง ข้างบน ข้างหน้า และข้างหลัง ดังปรากฏที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน<br />ลักษณะของตัวอักษรไทย นักเรียนควรจะศึกษารูปแบบลักษณะของตัวอักษรภาษาไทย ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบ คือ<br /> 1. รูปแบบทางราชการ ได้แก่ ตัวอักษรที่มีลักษณะแบบเรียบ ๆ อ่านง่าย นิยมใช้กันมากโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับทางราชการ องค์การต่าง ๆ ใช้ในการพิมพ์หนังสือเรียน เป็นแบบที่เรียบร้อยแสดงถึงความเป็นระเบียบแบบแผนของความเป็นไทย ลักษณะของตัวอักษรจะเป็นหัวกลม เช่น<br /><br /><br /> โรงเรียนแม่ใจวิทยาคม<br /><br /> 2. รูปแบบอาลักษณ์ หมายถึง แบบตัวอักษรที่ใช้ในราชสำนักมาแต่โบราณ นับแต่พระบรมราชโองการ เอกสารทางราชการ หรือการจารึกเอกสารสำคัญ เช่นรัฐธรรมนูญ งานเกียรติยศต่าง ๆ <br /><br /> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2gU9ZCAW5Eo8jGoOUDL_hbZo9shN6GI5S1-K75www_3eE15MaUa4jiX7DiKzY89WNLeVeqD3gI464I2AoRIS4mqRt_rbgHLuPWjSBiHvi7dDRHbTODFExHeqYIdkUY-lEzR_21dsYJik/s1600-h/titled-9.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2gU9ZCAW5Eo8jGoOUDL_hbZo9shN6GI5S1-K75www_3eE15MaUa4jiX7DiKzY89WNLeVeqD3gI464I2AoRIS4mqRt_rbgHLuPWjSBiHvi7dDRHbTODFExHeqYIdkUY-lEzR_21dsYJik/s400/titled-9.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108565104800966306" /></a><br /> <br /><br /> 3. รูปแบบสมเด็จกรมพระนริศฯ หมายถึง ลักษณะตัวอักษรที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้คิดรูปแบบขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะเป็นแบบที่ใช้เขียนได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และเหมาะสมกับการเขียนด้วยปากกา สปีดบอลล์ พู่กันแบน และสีเมจิกชนิดปลายตัด หรือที่เรียกว่า อักษรหัวตัด<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipj_G97IDY7EVsbYd6tbJ0459nsrnPBKK-30Hb0K7bBK3jAbydy3MVXKkUWcBNsEMBAdESBZ5RIQjG8yx91FB9st2RBFwBcFvZdPzbAtBd3H5Y1UYk3tppWQSDmNMIs2Qo9yXXm8wnhnQ/s1600-h/Untitled-10.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipj_G97IDY7EVsbYd6tbJ0459nsrnPBKK-30Hb0K7bBK3jAbydy3MVXKkUWcBNsEMBAdESBZ5RIQjG8yx91FB9st2RBFwBcFvZdPzbAtBd3H5Y1UYk3tppWQSDmNMIs2Qo9yXXm8wnhnQ/s400/Untitled-10.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108566058283706034" /></a><br /><br /> 4. รูปแบบประดิษฐ์ หมายถึง รูปแบบตัวอักษรที่เกิดจากการออกแบบสร้างสรรค์เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับงานประเภทต่าง ๆ เช่น งานออกแบบโฆษณา หัวเรื่องหนังสือ ฯลฯ ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบเหลี่ยม แบบวงกลม แบบโค้ง และแบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสม<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9rPUCv6Y8cEmjTK3Wjym2Oaw3_ur-5q8BveOAiWC3yEYEH-o4xrdp4xfT_WaAm0UpQ-xd0LBsd1xOHv-CVdz_3Yr-FvC56ygMnBQnOcTcLFC6DpxXu5LGMDUAQ7NLAyzfdsYlSFX2rE8/s1600-h/Untitled-11.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9rPUCv6Y8cEmjTK3Wjym2Oaw3_ur-5q8BveOAiWC3yEYEH-o4xrdp4xfT_WaAm0UpQ-xd0LBsd1xOHv-CVdz_3Yr-FvC56ygMnBQnOcTcLFC6DpxXu5LGMDUAQ7NLAyzfdsYlSFX2rE8/s400/Untitled-11.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108566603744552642" /></a><br /><br /><br />ขนาดและสัดส่วนของตัวอักษร<br /> ตัวอักษรไทยมีขนาดไม่เท่ากัน พอจะแบ่งได้ดังนี้<br />1. แบบอักษรตัวเต็ม ได้แก่ พยัญชนะที่มีขนาดสัดส่วนที่มีความกว้างเท่า ๆ กัน โดยมากพยัญชนะไทยจะมีขนาดตัวเต็ม เช่น ก ข ค ง จ ฯลฯ<br />2. แบบตัวอักษรตัวครึ่ง ได้แก่ พยัญชนะที่มีขนาดสัดส่วนที่มีความกว้างกว่าตัวเต็ม ในแบบที่ 1 อีกประมาณครึ่งตัว มีอยู่ด้วยกัน 4 ตัว คือ ณ ญ ฒ ฌ <br />3. แบบอักษรครึ่งตัว ได้แก่ อักษรที่เป็นสระมีความกว้างประมาณครึ่งตัวอักษรของแบบที่ 1 เช่น ะ า เ โ ไ ใ<br />แบบตัวอักษรทั้ง 3 แบบ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงหลักเกณฑ์เบื้องต้นเท่านั้น เมื่อนักเรียนเกิดความเข้าใจดีแล้ว ก็จะเกิดความชำนาญต่อไปสามารถดัดแปลงได้อีกมากมายหลายแบบไม่มีที่สิ้นสุด<br />ขนาดและสัดส่วนของตัวอักษร สามารถออกแบบให้เกิดความเหมาะสมได้อีก เช่น<br />1. แบบปกติ คือ ตัวอักษรที่มีขนาดความหนา ช่องว่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างตัวอักษรมีขนาดเท่า ๆ กัน ไม่แคบ หรือห่างกันเกินไป<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiM3yaT8QrkJ9264qghCy4E6ctPisKs8St9FffF-6BJOH2AgZuMVXMGPHHQDtk64lXDknmJ7ePEQFhMC5WbN0LtwYv-hrYSdBLHRV7J-7o8LmMVNKon4Dz2fBe-DU-L7DAqyLt9s-pUtqs/s1600-h/Untitled-12.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiM3yaT8QrkJ9264qghCy4E6ctPisKs8St9FffF-6BJOH2AgZuMVXMGPHHQDtk64lXDknmJ7ePEQFhMC5WbN0LtwYv-hrYSdBLHRV7J-7o8LmMVNKon4Dz2fBe-DU-L7DAqyLt9s-pUtqs/s400/Untitled-12.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108567089075857106" /></a><br /><br />2. แบบตัวกว้าง คือ ตัวอักษรที่มีขนาดความกว้างของช่องว่างของตัวอักษร และช่องว่างระหว่างตัวอักษรขยายกว้างกว่าปกติ เพื่อขยายให้เกิดความพอดีกับบริเวณที่ต้องการออกแบบตัวอักษรลงบนพื้นที่กว้างกว่าปกติ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcfUyaZjyiK_uPT7djIG277pyn0FxCVuQrbbl0SBvjlIUCuj2rfNW9xmx6PZOTUPUXGXJm9wmO3AqTXJ5ZoEJGTBPmDLG2k68dN_XKM4vcQRhiDH5gn6eWgoHpDPeNFr1WIEgrMbBJxUM/s1600-h/Untitled-13.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcfUyaZjyiK_uPT7djIG277pyn0FxCVuQrbbl0SBvjlIUCuj2rfNW9xmx6PZOTUPUXGXJm9wmO3AqTXJ5ZoEJGTBPmDLG2k68dN_XKM4vcQRhiDH5gn6eWgoHpDPeNFr1WIEgrMbBJxUM/s400/Untitled-13.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108567600176965346" /></a><br /><br /><br />3. แบบตัวแคบ คือ ตัวอักษรที่มีขนาดความกว้างของช่องว่างในตัวอักษร และช่องว่างระหว่างตัวอักษรแคบกว่าปกติ เพื่อให้เกิดความพอดีกับเนื้อที่ที่จะใช้ออกแบบตัวอักษรลงในงานที่มีพื้นที่แคบได้อย่างเหมาะสม<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdUBGhJzRK2ZK1-OJNsioui1T_YS4JSrQE5Son7mndGMCDLvpBiVEzNOn6fs3iL5ro-Z6TtjTcEUJNPrvut1UcCXrjTCFzLN68Sr7XyIeLDdEY-LlDL6Ci92HuCPL8JPV1l6MOrYXFjbU/s1600-h/Untitled-13.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdUBGhJzRK2ZK1-OJNsioui1T_YS4JSrQE5Son7mndGMCDLvpBiVEzNOn6fs3iL5ro-Z6TtjTcEUJNPrvut1UcCXrjTCFzLN68Sr7XyIeLDdEY-LlDL6Ci92HuCPL8JPV1l6MOrYXFjbU/s400/Untitled-13.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5108568085508269810" /></a><br /><br /><br /><br />วิธีการออกแบบตัวอักษร<br /> การออกแบบตัวอักษร นักเรียนจะต้องรู้จักกำหนดความสูง ความกว้าง และความยาวของประโยค ตัวอักษรที่จะออกแบบเพื่อให้ได้ตัวอักษรที่เหมาะสมกับเนื้อที่อย่างเหมาะสม<br /> วิธีการออกแบบตัวอักษรแบ่งออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้<br />1. ตีเส้นกำกับบรรทัด (Guide line) คือ การขีดเส้นตามแนวนอน ห่างกันตามความสูงของตัวอักษร เว้นด้านล่าง และด้านบน เหลือไว้พอสมควร เพื่อเขียนสระและวรรณยุกต์ เส้นกำกับบรรทัดนี้ควรขีดให้เบาพอมองเห็น เพื่อใช้เป็นแนวร่างตัวอักษรให้มีขนาดตามต้องการ<br /> 2. ตีเส้นร่างตามขนาดและจำนวนตัวอักษร ในการออกแบบตัวอักษรลงบริเวณใด เพื่อความเหมาะสมและสวยงาม จึงควรนับจำนวนตัวอักษรที่จะเขียนทั้งหมด แล้วจึงคำนวณเนื้อที่ทั้งหมดสำหรับบรรจุตัวอักษรลงไป แล้วตีเส้นร่างเบา ๆ ตามขนาดและจำนวนตัวอักษรทั้งหมด<br /> 3. การร่างตัวอักษร การร่างควรเขียนด้วยเส้นเบา เพื่อสะดวกต่อการลบ เมื่อเกิดการผิดพลาดหรือเมื่องานเสร็จแล้ว จะได้ลบเส้นที่ไม่ต้องการออกได้ง่ายไม่สกปรก<br /> 4. การลงสี เมื่อได้แบบตัวอักษรที่แน่นอนแล้วจึงลงสี หรือหมึก ให้เกิดความสวยงามตามต้องการ<br /><br /><br /></span><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">หน่วยที่ 6 การสร้างสื่อราคาเยา<br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/6.1.doc">........6.1 ความหมาย คุณค่า และประโยชน์ของสื่อราคาเยาว์ </a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/6.2.doc">........6.2 หลักการออกแบบและการสร้างสื่อราคาเยา</a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/6.3.doc">........6.3 วัสดุกับเทคนิคการออกแบบ</a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/6.4.doc">........6.4 การประมินสื่อการสอนราคาเยา</a></span><span style="color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/6.4.doc"> </a></span></span><br /></span><span style="color:#3366ff;"><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">หน่วยที่ 7 การ</span><span style="color:#ff0000;">ผลิตสื่อการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ </span><br /></span></span><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/7.1.doc">........7.1 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) </a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/7.2.doc">........7.2 การใช้เครือข่ายเพื่อการเรียนการสอน </a></span><br /></span><span style="color:#3366ff;"><br /></span><span style="color:#3366ff;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">หน่วยที่</span><span style="color:#ff0000;"> 8 การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ </span><br /></span></span><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/8.1.doc">........8.1 ความหมาย คุณค่า และประโยชน์ของสื่อสิ่งพิมพ์</a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/8.2.doc">........8.2 ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์</a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/8.3.doc">........8.3 ระบบการพิมพ์</a><br /><a href="http://namrana.saiyaithai.org/s484144001/8.4.doc">........8.4 การเลือกและการใช้สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการเรียนการสอน</a></span>ณรัฐ ประสุนิงค์http://www.blogger.com/profile/03818947380378905111noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-265055774293648538.post-21417086276835392372007-08-29T09:41:00.000-07:002007-08-29T09:41:38.963-07:00*0* เอาไปคิด *0*<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrx4z4DeSDqVq0hDCmpTq1N2roxq6TunBLr6bgGhEAp4gQa-vtvw5vWNLPQ1_gG1WximzwODGBYKEo8WMT_80uTw5igG8Ok2h5MwmOuR4we0NOWrhW80xlqIIfcPIji2PnvvIbblaolGE/s1600-h/171874_2958493.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5104162995250800018" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrx4z4DeSDqVq0hDCmpTq1N2roxq6TunBLr6bgGhEAp4gQa-vtvw5vWNLPQ1_gG1WximzwODGBYKEo8WMT_80uTw5igG8Ok2h5MwmOuR4we0NOWrhW80xlqIIfcPIji2PnvvIbblaolGE/s400/171874_2958493.jpg" border="0" /></a><br /><br />เอามาให้ไว้อ่านดูครับแล้วจะหามาให้อีกนะ *-*ณรัฐ ประสุนิงค์http://www.blogger.com/profile/03818947380378905111noreply@blogger.com14tag:blogger.com,1999:blog-265055774293648538.post-60356375699615809672007-08-26T21:47:00.000-07:002007-08-26T21:47:18.455-07:00เริ่มต้นการสร้าง blog<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEij5iGh6nDZXz5w5NU0pxtXGNsR-nKhQ_ExqRShpOALjt5F0ytkWIwJS58mUXmNTIlki2GRoyEy10hMnk7cBs09AQ4_jQS_1UxvV_11VX-vGzLVXHna4xx5jU6Y9M1LCHJR7_IclSoyIGM/s1600-h/SSL10619.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5098016439826107634" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEij5iGh6nDZXz5w5NU0pxtXGNsR-nKhQ_ExqRShpOALjt5F0ytkWIwJS58mUXmNTIlki2GRoyEy10hMnk7cBs09AQ4_jQS_1UxvV_11VX-vGzLVXHna4xx5jU6Y9M1LCHJR7_IclSoyIGM/s320/SSL10619.JPG" border="0" /></a><br /><p><span style="font-size:130%;color:#000099;">การเริ่มต้นของการเดินทางของชีวิตอาจเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆมีมากมายแต่ปลายทางอาจเกิดสิ่งที่เราไม่คาดฝันโดยไม่รู้ตัวเพระคนเรามีความคิดที่หลากหลาย</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#000099;">และเพราะความคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางที...ความรักอาจทำให้คนเปลี่ยนแปลงความคิดไปจากเดิมอาจทำให้คนเราปรับปรุงสิ่งที่เคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน.........</span></p>ณรัฐ ประสุนิงค์http://www.blogger.com/profile/03818947380378905111noreply@blogger.com1